เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอบริษัท Meta ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ล่าสุดผ่านจดหมายถึงสาธารณะ โดยชี้ว่าเทคโนโลยี AI ในอนาคตควรเป็น “อัจฉริยะส่วนตัว” (personal superintelligence) ที่สามารถช่วยแต่ละบุคคลบรรลุเป้าหมายของตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่ระบบอัตโนมัติทั่วไปอย่างที่หลายบริษัทมุ่งไป

พร้อมกันนั้น ซักเคอร์เบิร์กยังส่งสัญญาณว่าบริษัทกำลังปรับแนวทางในการเปิดตัวโมเดล AI ของตนเอง โดยระบุว่าแม้เมตายังคงเชื่อมั่นในหลักการของโอเพ่นซอร์ส แต่การเข้าสู่ระดับ “superintelligence” ก็จะมาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

“เรายังเชื่อว่าผลประโยชน์จาก AI ควรถูกแบ่งปันให้กว้างขวางที่สุด แต่เราก็ต้องรอบคอบในการตัดสินใจว่าจะเปิดเผยอะไรและอย่างไร” ซักเคอร์เบิร์กระบุในจดหมาย

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนจุดหักเหจากนโยบายเดิมที่เมตาใช้โมเดลตระกูล Llama เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงจุดยืนว่าเปิดเผยมากกว่าคู่แข่งอย่าง OpenAI, Google DeepMind และ xAI ของ Elon Musk โดยก่อนหน้านี้ในปี 2024 ซักเคอร์เบิร์กเคยประกาศว่าโมเดล Llama ในอนาคตจะกลายเป็น AI ที่ล้ำหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม เขาก็เคยระบุไว้เช่นกันว่า “หากโมเดลใดมีความสามารถในระดับที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงใหม่ และเราเห็นว่าไม่รับผิดชอบพอที่จะเปิดเผย เราก็จะไม่เปิด” ซึ่งสะท้อนว่าเมตามีแนวโน้มจะเปลี่ยนจากการเปิดโมเดลแบบเสรี มาเป็นระบบปิดมากขึ้น โดยเฉพาะกับโมเดลที่ทรงพลังระดับสูงสุด

แม้โมเดล Llama จะถูกมองว่าไม่ใช่โอเพ่นซอร์สแท้จริง เพราะเมตาไม่ได้เปิดเผยชุดข้อมูลฝึกโมเดลทั้งหมด แต่ความตั้งใจในการแชร์โมเดลให้ชุมชนก็เคยถือเป็นจุดขายสำคัญของบริษัท โดยซักเคอร์เบิร์กเคยย้ำว่า Meta ไม่ได้หารายได้จากการขายสิทธิ์ใช้โมเดล AI จึงไม่มีแรงจูงใจจะปิดกั้นเหมือนบริษัทอื่น

อย่างไรก็ดี สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนเมื่อเมตาถูกวิจารณ์ว่าล้าหลังกว่า GPT-4 ของ OpenAI และต้องเร่งพัฒนา Llama 3 ให้ทัดเทียมหรือเหนือกว่า ส่งผลให้ในเดือนมิถุนายน 2025 เมตาทุ่มงบกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อบริษัท Scale AI พร้อมควบรวมหน่วยวิจัยใหม่ภายใต้ชื่อ Meta Superintelligence Labs

แหล่งข่าวระบุว่า โมเดลล่าสุดในตระกูล Llama ที่ใช้ชื่อว่า "Behemoth" ได้หยุดการทดสอบชั่วคราว และเมตากำลังเบนเข็มไปสู่การพัฒนาโมเดลปิดแทน โดยมุ่งใช้ประโยชน์จาก AI ในอุปกรณ์ของตัวเอง เช่น แว่นตาอัจฉริยะและอุปกรณ์ VR ที่สามารถเข้าใจบริบทของผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์

“อุปกรณ์ส่วนตัวอย่างแว่นตาที่สามารถมองเห็นในสิ่งที่เรามอง ได้ยินในสิ่งที่เราได้ยิน และโต้ตอบกับเราได้ทั้งวัน จะกลายเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลักของเราในอนาคต” ซักเคอร์เบิร์กระบุ

แม้ท่าทีล่าสุดจะดูหันมาให้ความสำคัญกับโมเดลแบบปิด แต่โฆษก Meta ยืนยันว่าบริษัทยังไม่ละทิ้งหลักการโอเพ่นซอร์ส และจะยังคงปล่อยโมเดลแบบเปิดควบคู่กันไป

“ท่าทีของเราต่อ AI แบบโอเพ่นซอร์สยังไม่เปลี่ยน เรายังมีแผนจะปล่อยโมเดลโอเพ่นซอร์สที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็จะพัฒนาโมเดลแบบปิดในบางกรณีควบคู่กันไป”

ความเคลื่อนไหวของ Meta ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การแข่งขันในวงการ AI ไม่ได้มีแค่เรื่องความสามารถของโมเดลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวคิดเชิงนโยบาย ความรับผิดชอบ และกลยุทธ์การสร้างรายได้จากเทคโนโลยีแห่งอนาคตอีกด้วย

ที่มา : techcrunch