แนวโน้มการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างแพร่หลายทั่วโลกกำลังผลักดันความต้องการพลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ให้เพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีศูนย์ข้อมูลจำนวนมาก เช่น Amazon, Google, Meta และ Microsoft ที่ต่างต้องหาทางจัดหาแหล่งพลังงานที่มั่นคงและเพียงพอ ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คือพลังงานนิวเคลียร์

แม้พลังงานนิวเคลียร์จะเคยถูกมองว่าล้าสมัยและมีความเสี่ยง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในรูปแบบของ “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก” หรือ SMR (Small Modular Reactor) ที่มีต้นทุนต่ำลงจากการผลิตแบบอุตสาหกรรม ใช้พื้นที่น้อยลง และออกแบบให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการพลังงานเสถียรตลอด 24 ชั่วโมง

แม้สหรัฐฯ จะยังไม่มีการสร้าง SMR ใช้งานจริง แต่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งได้เริ่มลงทุนหรือทำสัญญาซื้อพลังงานจากสตาร์ทอัพด้านพลังงานนิวเคลียร์แล้ว เช่น Google ที่ให้การสนับสนุน Kairos Power ในการผลิตไฟฟ้า 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035 โดย Kairos ใช้เกลือหลอมเหลวเป็นตัวหล่อเย็น เพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการเดินเครื่อง หรือ Oklo ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI แม้จะเคยถูกปฏิเสธใบอนุญาตเมื่อปี 2022 แต่ยังคงเดินหน้าและมีข้อตกลงส่งมอบไฟฟ้าให้บริษัท Switch รวมถึง TerraPower ของ Bill Gates ที่เริ่มสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกในรัฐไวโอมิง โดยใช้ระบบเก็บพลังงานจากเกลือหลอมเหลว เพื่อผลิตไฟฟ้าได้แม้ในช่วงที่ความต้องการใช้น้อย

นอกจากนี้ยังมีบริษัทอย่าง Saltfoss ที่พัฒนาแนวคิด “โรงไฟฟ้าลอยน้ำ” โดยติดตั้งเตาปฏิกรณ์บนเรือ และ X-Energy ซึ่งได้รับเงินลงทุนจาก Amazon เพื่อนำเตาปฏิกรณ์ที่ใช้ก๊าซฮีเลียมมาใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ ของสหรัฐฯ รวมแล้วทั้ง 2 บริษัทมีแผนผลิตไฟฟ้าได้รวมหลายร้อยเมกะวัตต์ในทศวรรษหน้า

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทิศทางของพลังงานยุคใหม่ เมื่อเทคโนโลยีระดับโลกต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานที่มั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พลังงานนิวเคลียร์แบบใหม่จึงอาจกลายเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานในยุค AI อย่างแท้จริง

ที่มา : techcrunch