BYD จุดชนวนสงครามราคา EV จีน ท้าทายตลาดไทยเข้าสู่ยุคเฟ้นหาบริการหลังการขายคุณภาพ
วันที่โพสต์: 28 พฤษภาคม 2568 08:16:16 การดู 1 ครั้ง ผู้โพสต์ baikhao
BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลกจากจีน สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการประกาศลดราคาครั้งใหญ่ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถไฮบริดรวม 22 รุ่น สูงสุดถึง 34% จุดชนวนการแข่งขันด้านราคารอบใหม่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายรายซึ่งปรับตัวลดลงติดต่อกันตลอดสองวันที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลว่าผู้เล่นบางรายอาจไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นได้
มาตรการลดราคาครั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม และจะดำเนินไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน โดยมีรถรุ่นยอดนิยมอย่าง BYD Seal ลดราคาสูงสุดถึง 34% และ BYD Seagull ซึ่งเป็นรถแฮทช์แบ็คราคาประหยัดปรับลดลงถึง 20% เหลือเพียง 55,800 หยวน หรือประมาณ 253,000 บาท โดยการลดราคาจะอยู่ภายใต้โครงการแลกซื้อที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านการเปลี่ยนของเก่าเป็นของใหม่ ทั้งในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์
เมื่อผู้เล่นรายใหญ่อย่าง BYD ขยับตัว คู่แข่งรายอื่นๆ ในจีนอย่าง Geely และ Leapmotor ก็ไม่นิ่งเฉย ต่างประกาศแคมเปญลดราคาตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน โดย Geely Galaxy ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือ Geely Auto ได้ลดราคารถยนต์บางรุ่นสูงสุดเกือบ 19% และเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อรับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมจากรัฐ ส่วน Leapmotor หั่นราคารถ SUV รุ่น C11 ลงสูงสุดราว 45,000 หยวน หรือประมาณ 9.8% ของราคารถ ขณะที่ IM Motors ก็ปรับลดราคารถ SUV รุ่น LS6 ลงเกือบ 19% เช่นกัน
นักวิเคราะห์จากดอยช์แบงก์มองว่าการลดราคาครั้งนี้ของ BYD มีเป้าหมายหลักเพื่อระบายสต็อกที่สะสมอยู่ในระดับสูง โดยข้อมูลจากตัวแทนจำหน่ายพบว่าระดับสต็อกของ BYD ในช่วงต้นปีอยู่ในระดับ 3-4 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เริ่มเป็นภาระต่อดีลเลอร์ สถานการณ์นี้เกิดจากความทะเยอทะยานของ BYD ที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 5.5 ล้านคันในปีนี้ แต่ยอดขายจริงในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นเพียง 15% เทียบกับปีที่แล้ว
ไม่เพียงแต่การแข่งขันที่รุนแรงในจีน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเองก็กำลังเผชิญความท้าทายเช่นกัน แม้ปี 2566 จะมียอดจดทะเบียน EV พุ่งสูงถึง 76,000 คัน เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2565 แต่ในปี 2567 ตัวเลขดังกล่าวกลับหดตัวลงเหลือเพียง 70,100 คัน ลดลงราว 8% สะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดที่เคยร้อนแรง จากความไม่พร้อมในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสถานีชาร์จไฟแบบ DC ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงอะไหล่หายากและใช้เวลานาน ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้บริโภค
ในขณะที่ราคาที่ถูกลงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่สิ่งที่ผู้ผลิตต้องเผชิญกลับเป็นภาระในการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินของผู้ผลิตที่ไม่มีสายป่านยาวพอ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์จีนกับกรณี Evergrande ผู้บริหารจากบริษัท Great Wall Motors ยังเตือนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จีนก็อาจมี "Evergrande" เป็นของตัวเองได้เช่นกัน หากยังคงเดินหน้าทำสงครามราคาต่อไปโดยไม่ใส่ใจความยั่งยืน
ในมุมของผู้เชี่ยวชาญ หลายฝ่ายเชื่อว่ายุคของการขายด้วยราคาเพียงอย่างเดียวอาจกำลังสิ้นสุดลง โดยอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่ เน้นการสร้างความเชื่อมั่นผ่านบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่มั่นใจให้กับลูกค้า เพื่อรักษาฐานผู้ใช้ในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันที่กำลังเข้าสู่ช่วงคัดกรองผู้เล่นที่แข็งแรงและมีศักยภาพในการอยู่รอดอย่างแท้จริง.
แท็ก: BYD