รัฐบาลทหารเมียนมาเปิดให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยจากต่างประเทศเข้าช่วยเหลือ หลังแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย ถือเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีของประเทศที่ยังเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมือง

แรงสั่นสะเทือนสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อสนามบิน สะพาน และเส้นทางคมนาคม ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบที่ส่งผลให้เศรษฐกิจทรุดตัวและประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ยอดผู้เสียชีวิตในเมียนมาพุ่งเป็น 1,002 รายเมื่อวันเสาร์ ขณะที่ในประเทศไทย อาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในกรุงเทพฯ ถล่มลงมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย

ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประชาชนพยายามใช้มือเปล่าค้นหาผู้ที่อาจรอดชีวิตใต้ซากอาคาร เนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือหนักและเจ้าหน้าที่กู้ภัยยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ ส่วนในกรุงเทพฯ ทีมกู้ภัยยังคงปฏิบัติภารกิจค้นหาผู้สูญหายภายใต้ซากตึกสูง 33 ชั้น ซึ่งมีผู้ติดอยู่ใต้ซาก 47 คน รวมถึงแรงงานชาวเมียนมาด้วย

สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ คาดการณ์ว่ายอดผู้เสียชีวิตในเมียนมาอาจพุ่งเกิน 10,000 ราย และมูลค่าความเสียหายอาจมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศเสียเอง หนึ่งวันหลังจากที่รัฐบาลทหารเมียนมาขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้เดินทางไปยังเมืองมัณฑะเลย์เพื่อดูแลสถานการณ์ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งปฏิบัติการกู้ภัยและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตโดยเร็วที่สุด

รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติของเมียนมาเปิดเผยว่า อาคารกว่า 2,900 แห่ง ถนน 30 สาย และสะพาน 7 แห่ง ได้รับความเสียหายอย่างหนัก สนามบินนานาชาติในกรุงเนปิดอว์และมัณฑะเลย์ต้องปิดทำการชั่วคราว ขณะที่หอบังคับการบินของสนามบินเนปิดอว์พังถล่มลงมาจนไม่สามารถใช้งานได้

คณะกู้ภัยจากจีนเดินทางถึงสนามบินในย่างกุ้ง และเตรียมมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยรถบัส อินเดียได้ส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ผ่านเครื่องบินทหาร ขณะที่รัสเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ต่างเร่งส่งความช่วยเหลือเข้ามายังเมียนมา สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ออกแถลงการณ์แสดงความพร้อมในการสนับสนุนการกู้ภัยและฟื้นฟูพื้นที่ภัยพิบัติ

ในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องจักรหนัก โดรน และสุนัขกู้ภัย ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่าหน่วยงานทุกแห่งได้ระดมทรัพยากรอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ประชาชนที่เฝ้ารอข่าวของญาติต่างแสดงความกังวลและสิ้นหวัง ชานเพ็ญ แก้วน้อย อายุ 39 ปี เผยว่า เธอพยายามโทรหาน้องสาวที่ทำงานก่อสร้างในอาคารที่พังถล่ม แต่ไม่สามารถติดต่อได้ "ฉันอยากเห็นหน้าแม่กับน้องสาวอีกครั้ง" เธอกล่าวด้วยน้ำตาคลอ

ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมของไทยระบุว่า อาคารในกรุงเทพฯ อาจได้รับผลกระทบมากถึง 5,000 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม