สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปราศรัยอย่างเข้มข้นต่อที่ประชุมร่วมของวุฒิสภาและสภาแห่งชาติ โดยแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์พิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมเตือนว่า หากปัญหานี้ไม่ถูกยุติผ่านกระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อาจบานปลายจนกลายเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเช่นเดียวกับ “ฉนวนกาซา”

ฮุน เซน กล่าวว่ากัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอเชิญชวนไทยให้ยื่นคำร้องร่วมต่อศาลโลก เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกันและยึดแนวทางสันติภาพเป็นหลัก แต่หากไทยยังคงเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการนี้ อาจสะท้อนถึง “เจตนาแอบแฝง” ที่ไทยไม่เปิดเผย

อดีตผู้นำกัมพูชายังเปิดเผยว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ไทยและกัมพูชาลงนามไว้เมื่อปี 2543 ได้หมดอายุโดยพฤตินัย เพราะตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม พร้อมย้ำว่า “ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้ศาลโลกชี้ขาด เพื่อป้องกันความขัดแย้งซ้ำซาก” และกล่าวท้าทายว่า “หากไทยบริสุทธิ์ใจ เหตุใดจึงต้องกลัวการขึ้นศาล”

ฮุน เซน ย้ำด้วยว่า กัมพูชาไม่เคยมีความตั้งใจรุกล้ำดินแดนของชาติใด แต่ต้องการรักษาพื้นที่ชายแดนที่เป็นมรดกจากยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการรับรองโดยพระบาทสมเด็จพระบรมราชชนกนโรดม สีหนุ พร้อมระบุว่า “ที่ผ่านมา กัมพูชาสูญเสียดินแดนไปมากแล้ว เหลือเพียงน้อยนิดที่ต้องปกป้องไว้”

ที่ประชุมร่วมของรัฐสภากัมพูชามีมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนท่าทีของรัฐบาลในการนำปัญหาชายแดนเข้าสู่การพิจารณาของ ICJ และหากมีเหตุปะทะเกิดขึ้น กัมพูชาจะยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอการแทรกแซงโดยทันที

ในเวทีเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต บุตรชายของฮุน เซน ก็ได้ย้ำว่า กัมพูชาจะเดินหน้าเต็มที่ในการนำข้อพิพาทเข้าสู่ศาลโลก ไม่ว่าจะได้รับความร่วมมือจากไทยหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนและทุกฝ่ายในประเทศสามัคคีกันสนับสนุนกองทัพกัมพูชา เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ

สถานการณ์ดังกล่าวนับเป็นสัญญาณเตือนครั้งสำคัญของความตึงเครียดในภูมิภาค และอาจกลายเป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในเวทีอาเซียนและระดับโลก

ที่มา Phanom Penh Post