ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดร้อยละ 0.25 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินให้แก่เกษตรกรและลูกค้าของธนาคาร พร้อมทั้งสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

รายละเอียดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR)
  - ลูกค้าทั่วไป: ลดลง 0.1% เหลือ 6.875% ต่อปี
  - กลุ่มเปราะบาง, SMEs ที่ประสบปัญหาการผลิต และลูกหนี้ NPLs ที่อยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างหนี้: ลดลง 0.25% เหลือ 6.725% ต่อปี (มีระยะเวลา 5 เดือน)

2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าประเภทเงินเกินบัญชี (MOR)
  - ปรับลดลงเหลือ 6.875% ต่อปี

3. อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
  - คงไว้ที่ระดับเดิม เพื่อรักษาสมดุลระหว่างผู้ฝากเงินและผู้กู้

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดการเงิน และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ ธ.ก.ส. ในการสนับสนุนภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และความท้าทายทางเศรษฐกิจอื่นๆ

นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับกลุ่มเปราะบางและ SMEs ที่ประสบปัญหา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ธ.ก.ส. ในการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยการลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.25% สำหรับกลุ่มนี้จะช่วยให้พวกเขามีโอกาสในการฟื้นฟูธุรกิจและปรับปรุงสถานะทางการเงินได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน การตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ที่ระดับเดิมแสดงให้เห็นถึงความพยายามของธนาคารในการรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนผู้กู้และการดูแลผลประโยชน์ของผู้ฝากเงิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารในระยะยาว

มาตรการนี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อภาคเกษตรกรรมและธุรกิจขนาดเล็กของไทย โดยช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะนำให้ติดตามผลกระทบของมาตรการนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินประสิทธิผลและพิจารณาปรับปรุงนโยบายในอนาคตหากจำเป็น