โรงงานไทยเผชิญวิกฤติ! ปี 2568 เสี่ยงปิดตัวต่อเนื่อง SMEs รับผลกระทบหนัก
วันที่โพสต์: 7 กุมภาพันธ์ 2568 22:24:42 การดู 0 ครั้ง ผู้โพสต์ baikhao
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2568 โดยระบุว่าโรงงานในประเทศไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงต่อการปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กหรือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง และการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้จำนวนโรงงานที่ปิดตัวในปี 2567 ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉลี่ยมากกว่า 100 แห่งต่อเดือนติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แม้ว่าภาพรวมของการเปิดโรงงานใหม่ยังคงมีอยู่ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าอัตราการเติบโตของโรงงานใหม่ที่เปิดขึ้นกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลย้อนหลังตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าจำนวนโรงงานที่เปิดใหม่หลังหักลบกับจำนวนโรงงานที่ปิดตัวแล้วลดลงอย่างชัดเจน จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับเฉลี่ย 127 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2564-2565 ลดลงเหลือเพียง 52 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2566-2567 สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างชัดเจน โรงงานที่ปิดตัวลงมากที่สุดในปี 2567 ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างและได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลง ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและการแข่งขันที่รุนแรงจากตลาดต่างประเทศ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและมีการปิดโรงงานมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า ยานยนต์ และเหล็ก ซึ่งล้วนแต่เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกกว่า ประกอบกับการปรับตัวของตลาดที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องยุติกิจการ
เมื่อพิจารณาถึงขนาดของโรงงานที่ปิดตัวในปี 2567 พบว่าเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SMEs มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยทุนจดทะเบียนรวมของโรงงานที่ปิดตัวในปี 2567 อยู่ที่เพียง 47,833 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ถึง 3.8 เท่า แสดงให้เห็นว่ากลุ่ม SMEs กำลังเผชิญความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจและมีแนวโน้มที่จะปิดตัวมากขึ้นในปี 2568 แม้ว่าจะยังมีโรงงานเปิดใหม่ที่สามารถดูดซับแรงงานส่วนหนึ่งไว้ได้ แต่แนวโน้มชั่วโมงการทำงานในภาคการผลิตกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม
ข้อมูลในปี 2567 ระบุว่าโรงงานที่เปิดใหม่มีการจ้างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 36 คนต่อแห่ง สูงกว่าโรงงานที่ปิดตัวลงซึ่งมีการเลิกจ้างเฉลี่ย 28 คนต่อแห่ง อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนการจ้างงานสุทธิยังเป็นบวก แต่ภาคอุตสาหกรรมกลับมีแนวโน้มลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา (OT) ลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ระบุว่าจำนวนแรงงานที่ทำงานต่ำกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นเป็น 457,000 คน จาก 412,000 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นกว่า 11% ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มตลาดแรงงานในภาพรวม ปัญหานี้อาจส่งผลให้รายได้ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมลดลง และกระทบต่อการใช้จ่ายในภาคครัวเรือน
แนวโน้มในปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าโรงงานยังคงเสี่ยงที่จะปิดตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ซึ่งต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันหลายประการ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและลดขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ แรงกดดันจากสินค้านำเข้ายังคงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มการผลิตของโรงงานไทยยังคงอยู่ในช่วงขาลง โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัว 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการหดตัวติดต่อกันถึง 9 ไตรมาส หรือเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา การฟื้นตัวของภาคการผลิตยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากต้องอาศัยการปรับโครงสร้างทางอุตสาหกรรม การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแข่งขันกับตลาดโลก อย่างไรก็ตาม กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาและการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถฟื้นตัวและปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
แท็ก: แรงงานไทย เศรษฐกิจไทย โรงงานปิดตัว