DeepSeek เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้าน AI หลังจากที่บริษัทจีนนี้สร้างความฮือฮาในซิลิคอนแวลลีย์ด้วยโมเดล AI รุ่นล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการเทคโนโลยีโลก ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ในวงการ AI มักประกาศการระดมทุนขนาดใหญ่จากนักลงทุนหรือบริษัทต่างๆ เพื่อขยายธุรกิจ แต่ DeepSeek กลับเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่แตกต่างออกไป

Liang Wenfeng ผู้ก่อตั้ง DeepSeek ไม่รีบร้อนที่จะเปิดรับการลงทุนจากภายนอก แม้จะมีนักลงทุนหลายรายที่แสดงความสนใจ เขาตัดสินใจเลือกที่จะรักษาการควบคุมบริษัทเอาไว้ในมือของเขาเอง โดยมีข้อมูลจาก TechCrunch วิเคราะห์ว่า Liang ถือหุ้นใน DeepSeek ถึง 84% ส่วนที่เหลือถือโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกองทุน High-Flyer ของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า DeepSeek เป็นธุรกิจที่ถูกขับเคลื่อนโดยบุคคลคนเดียว โดยที่ Liang ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมุมมองของนักลงทุนร่วมทุน (VC) มากนัก

ในอดีต Liang เคยพยายามระดมทุนจากนักลงทุนภายนอก แต่กลับพบว่าไม่พอใจกับทัศนคติของนักลงทุนที่เน้นการสร้างรายได้อย่างรวดเร็วแทนที่จะให้ความสำคัญกับการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนา AI ที่มีคุณภาพสูงในระยะยาว เขาจึงเลือกที่จะไม่เปิดรับการลงทุนจากภายนอกเพื่อหลีกเลี่ยงการมีอิทธิพลจากภายนอกเข้ามาควบคุมทิศทางของบริษัท

แม้ว่า DeepSeek จะไม่ได้พึ่งพาทุนจากภายนอกในการดำเนินงาน แต่ Liang ยังสามารถใช้ผลกำไรจากกองทุน High-Flyer ที่เขาบริหารมาเป็นทุนในการสนับสนุนการพัฒนาและการดำเนินการของบริษัท อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ DeepSeek ต้องเผชิญคือข้อจำกัดในการจัดหาชิป AI ขั้นสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคหลักที่ DeepSeek ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้มีการจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ทำให้การพัฒนา AI ของบริษัทจีนต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่

อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ DeepSeek ต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นคือข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของข้อมูล โดยเฉพาะจากหลายรัฐบาลและองค์กรเอกชนที่เริ่มสั่งห้ามการใช้ผลิตภัณฑ์ของ DeepSeek เนื่องจากข้อกฎหมายในจีนที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลในการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายในการขยายตัวในต่างประเทศ และอาจนำไปสู่การเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรจากรัฐบาลสหรัฐฯ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่นๆ เช่น Huawei และ DJI

แม้ว่าในปัจจุบัน DeepSeek ยังคงสามารถพึ่งพาทุนจากภายใน แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต เนื่องจากเมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มมีการประกาศผลกำไรเบื้องต้น ซึ่งแสดงถึงความพยายามในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่การสร้างรายได้ที่มากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการพิจารณาการเปิดรับเงินทุนจากภายนอก เพื่อให้สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ในวงการ AI ได้

อีกหนึ่งข้อจำกัดที่อาจทำให้ DeepSeek ต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางทางการเงินคือข้อจำกัดในด้านการเข้าถึงชิป AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Liang เคยกล่าวว่าเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการพัฒนา AI ของบริษัท แม้ว่ากองทุน High-Flyer เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในอดีต แต่ตั้งแต่ปี 2022 ผลประกอบการของกองทุนบางส่วนเริ่มมีแนวโน้มลดลง และจากการที่รัฐบาลจีนได้เพิ่มมาตรการควบคุมในด้านการบริหารกองทุนเชิงปริมาณ เช่น High-Flyer ตั้งแต่ปี 2024 อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสนับสนุน DeepSeek ของ Liang

ในขณะที่ข่าวลือเกี่ยวกับความสนใจจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน เช่น Tencent และ Alibaba เริ่มมีมากขึ้น การมีนักลงทุนที่มีชื่อเสียงเข้ามาอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ DeepSeek ต้องทบทวนกลยุทธ์ทางการเงินในอนาคต การเปิดรับเงินทุนจากภายนอกอาจเป็นทางเลือกที่สำคัญหากบริษัทต้องการขยายการดำเนินงานและแข่งขันกับบรรดายักษ์ใหญ่ในวงการ AI ที่มีทรัพยากรมากมาย

ที่มา : techcrunch