ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยบทวิเคราะห์เปรียบเทียบนโยบายเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก (2017-2021) กับแนวนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสมัยที่สอง หลังชัยชนะการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน พบความแตกต่างสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการใช้นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวและรวดเร็วขึ้น

จากการวิเคราะห์พบว่า รัฐบาลทรัมป์สมัยที่สองมีแนวโน้มจะใช้มาตรการการค้าที่เด็ดขาดและรวดเร็วกว่าสมัยแรกอย่างชัดเจน โดยในสมัยแรกใช้มาตรการผ่านมาตรา 301 ของ Trade Act 1974 ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการ 12-18 เดือน แต่ในสมัยที่สองคาดว่าจะใช้ IEEPA (International Emergency Economic Powers Act) ในประเด็น Fentanyl ที่สามารถบังคับใช้ได้ทันที

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปี 2024 มีความท้าทายมากกว่าปี 2018 อย่างเห็นได้ชัด โดย GDP มีแนวโน้มเติบโตเพียง 2.8% ลดลงจาก 3.0% อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจาก 2.4% เป็น 3.0% อัตราดอกเบี้ย Fed พุ่งสูงจาก 2.25-2.50% เป็น 4.25-4.50% และการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 8.7 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์

ด้านจีนได้แสดงให้เห็นการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน โดยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ จาก 19.3% เหลือ 14.7% ของการส่งออกรวม ขณะที่เพิ่มการส่งออกไป ASEAN จาก 12.9% เป็น 16.4% พร้อมกับพัฒนาตลาดภายในประเทศ ส่งผลให้สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศต่อ GDP เพิ่มขึ้นจาก 39.0% เป็น 39.6%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ผลกระทบเป็น 3 ระยะ โดยระยะสั้นจะเกิดความผันผวนในตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมการชะลอตัวของการค้าระหว่างประเทศ ระยะกลางจะเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศและการเร่งพัฒนาตลาดภูมิภาค ส่วนระยะยาวอาจนำไปสู่การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานอย่างถาวร

สำหรับข้อเสนอแนะต่อผู้ประกอบการไทย ศูนย์วิจัยฯ แนะนำให้เตรียมพร้อมใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารความเสี่ยงผ่านการกระจายตลาดและสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน การปรับตัวเชิงกลยุทธ์โดยเตรียมแผนรองรับมาตรการกีดกันทางการค้า และการเตรียมความพร้อมระยะยาวด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงาน

ความท้าทายสำคัญที่สุดคือการที่รัฐบาลทรัมป์สมัยที่สองจะดำเนินนโยบายภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปราะบางกว่าสมัยแรก ทั้งจากระดับอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูง รวมถึงการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบจากมาตรการต่างๆ รุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้น

ศูนย์วิจัยฯ คาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการค้าโลก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนรองรับที่ครอบคลุม เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะการแสวงหาโอกาสใหม่จากการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลกและการพัฒนาของตลาดในภูมิภาค