iPhone 17 อาจมาพร้อมราคาที่สูงขึ้น ท่ามกลางการควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน
วันที่โพสต์: 25 กุมภาพันธ์ 2568 17:25:20 การดู 1 ครั้ง ผู้โพสต์ baikhao
ในขณะที่หลายคนจับตาการเปิดตัวของ iPhone 17 ซีรีส์ในอนาคต มีการคาดการณ์ว่า Apple อาจจะปรับราคาสูงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะ iPhone 16e รุ่นใหม่ที่เปิดตัวไปแล้วในราคา 600 ดอลลาร์ (ประมาณ 21,000 บาท) ซึ่งเป็นการเพิ่มราคาจาก iPhone SE รุ่นก่อนที่มีราคาเพียง 430 ดอลลาร์ (ประมาณ 15,100 บาท) การเพิ่มราคาครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามว่าผู้บริโภคจะตอบสนองอย่างไรต่อราคาที่สูงขึ้น และตลาดสมาร์ตโฟนจะได้รับผลกระทบอย่างไรในปี 2025
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือสถานการณ์ด้านการเมืองและการค้าโลกที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงการคว่ำบาตรที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังดำเนินการเพื่อควบคุมการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน การคว่ำบาตรเหล่านี้ไม่เพียงแค่กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในจีน แต่ยังส่งผลถึงสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตที่ผลิตโดยบริษัทจากทั่วโลก เนื่องจากชิปที่ใช้ในอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนผลิตจากเครื่องมือที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความทันสมัย
การควบคุมนี้เริ่มจากการจำกัดการส่งออกชิปและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน โดยเฉพาะจากประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องมือที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ทันสมัย เช่น เครื่องพิมพ์ชิปของ ASML และ Tokyo Electron การจำกัดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะป้องกันไม่ให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพทางทหารและปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ
การควบคุมดังกล่าวยังขยายไปถึงบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตชิปในจีน อย่าง Semiconductor Manufacturing International Corp. (SMIC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีนและเป็นผู้จัดหาชิปให้กับ Huawei หนึ่งในบริษัทที่เป็นเป้าหมายของการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน นโยบายของไบเดนเคยจำกัดการส่งออกบางรายการจาก SMIC เพื่อหลีกเลี่ยงการนำเทคโนโลยีสำคัญไปใช้ในโครงการของ Huawei แต่ยังมีช่องโหว่ที่อาจช่วยให้ SMIC สามารถเข้าถึงเครื่องมือสำคัญในการผลิตชิปได้อยู่
การคว่ำบาตรและผลกระทบที่ตามมา
การคว่ำบาตรที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การผลิตชิปในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในอุปกรณ์มือถือ เช่น ชิป 5G ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่จากแบรนด์ต่างๆ การคว่ำบาตรนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตสมาร์ตโฟนจากจีนและประเทศอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมาตรฐานสูง
การเปิดตัวของ Huawei Mate 60 Pro ในปี 2023 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดเหล่านี้ สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ได้รับการเผยแพร่ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงชิปที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับทางการสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถควบคุมการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน
การควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนมีผลกระทบต่อการผลิตสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตจากทั่วโลก โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ชิปจากบริษัทที่ผลิตโดยเครื่องมือจาก ASML และ Tokyo Electron ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีชิปชั้นสูงที่ใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ เช่น iPhone และ Huawei ข้อจำกัดเหล่านี้อาจทำให้การผลิตสมาร์ตโฟนช้าลง และอาจส่งผลกระทบต่อราคาและความพร้อมจำหน่ายในตลาด
ในระยะยาว การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI และการทหารอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศต่างๆ แข่งขันกันในด้านการควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกัน การพัฒนาเหล่านี้ยังส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในด้านราคาและการเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ
การควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนโดยสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งการผลิตสมาร์ตโฟนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในอนาคต โดยเฉพาะในกรณีที่จีนสามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดเหล่านี้ได้ การที่ Huawei ยังสามารถเปิดตัวสมาร์ตโฟนใหม่ๆ ได้ แม้จะมีการคว่ำบาตรก็ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่าทางการสหรัฐฯ จะใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการควบคุมเทคโนโลยีที่สำคัญนี้หรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนในระดับโลกอย่างไร