ในกรณีของแท็ก (Tags) และหมวดหมู่ (Categories) ที่ซ้ำกันในเว็บไซต์ Google อาจไม่มองว่าเป็นการซ้ำโดยตรง ตราบใดที่มีการใช้อย่างเหมาะสมและไม่สร้างเนื้อหาที่ซ้ำกัน (Duplicate Content) ในมุมมองของ SEO

การทำงานของ Google เกี่ยวกับแท็กและหมวดหมู่:

1. หมวดหมู่ (Categories)

หมวดหมู่ใช้เพื่อจัดกลุ่มเนื้อหาหลักในระดับโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น บทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "อาหาร", "การท่องเที่ยว", หรือ "เทคโนโลยี" ควรถูกแบ่งไว้ในหมวดหมู่ที่เหมาะสมที่สุด

2. แท็ก (Tags)

แท็กใช้สำหรับการเชื่อมโยงคำหลักที่เกี่ยวข้องในระดับรายละเอียด เช่น บทความที่อยู่ในหมวด "อาหาร" อาจใช้แท็กอย่าง "อาหารไทย", "อาหารเพื่อสุขภาพ", หรือ "อาหารจานด่วน" เพื่อช่วยเพิ่มการค้นหา.

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น:

1. แท็กและหมวดหมู่ซ้ำกัน

หากคุณใช้คำเดียวกันสำหรับทั้งแท็กและหมวดหมู่ เช่น มีทั้ง "อาหาร" เป็นหมวดหมู่ และ "อาหาร" เป็นแท็กในบทความเดียวกัน

อาจทำให้ Google เข้าใจผิด ว่าคุณกำลังสร้างเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน

อาจทำให้เกิด URL ที่แตกต่างกันสำหรับหมวดหมู่และแท็ก เช่น:

/category/อาหาร

/tag/อาหาร

ส่งผลให้เกิด Duplicate Content ได้

2. แท็กมากเกินไป (Tag Spamming)

การใช้แท็กมากเกินความจำเป็นหรือใส่แท็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา อาจทำให้คุณถูก Google มองว่าเป็นการ "สแปมแท็ก" ซึ่งส่งผลเสียต่อ SEO

วิธีป้องกัน:

1. กำหนดบทบาทให้ชัดเจน

ใช้ หมวดหมู่ สำหรับการจัดการโครงสร้างหลักของเว็บไซต์

ใช้ แท็ก เพื่อเชื่อมโยงคำที่เกี่ยวข้องในระดับเฉพาะเจาะจง

2. หลีกเลี่ยงการซ้ำคำ

หลีกเลี่ยงการใช้คำเดียวกันสำหรับแท็กและหมวดหมู่ เช่น:

หมวดหมู่: "อาหารไทย"

แท็ก: "เมนูไทย", "สูตรอาหาร"

3. ตั้งค่า Canonical URLs

ในกรณีที่จำเป็นต้องมี URL หลายประเภท เช่น ทั้ง /category/อาหาร และ /tag/อาหาร ควรตั้งค่า Canonical URL เพื่อบอก Google ว่า URL ใดเป็นตัวหลักที่ต้องจัดอันดับ

4. ตรวจสอบการจัดทำดัชนี (Indexing)

ใช้ไฟล์ robots.txt หรือปลั๊กอิน SEO เช่น Yoast หรือ Rank Math เพื่อกำหนดว่า:

จะไม่ให้ Google ทำดัชนีแท็ก (Tags)

หรือให้ทำดัชนีเฉพาะหมวดหมู่ (Categories) เท่านั้น

แท็กและหมวดหมู่ที่ซ้ำกัน ไม่จำเป็นต้องมีปัญหาโดยตรง หากมีการใช้งานอย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน แต่หากใช้คำเดียวกันและปล่อยให้เกิด URL ที่ซ้ำกันโดยไม่มีการจัดการ อาจส่งผลเสียต่อ SEO ได้