ราคาทองคำในตลาดโลกเมื่อคืนวันจันทร์ (31 มีนาคม) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการปรับตัวขึ้นที่สำคัญที่สุดของโลหะมีค่า ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเศรษฐกิจโลก โดยราคาทองคำตลาดสปอตพุ่งแตะ 3,128.06 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางปัจจัยหนุนจากแรงซื้อของธนาคารกลางและนักลงทุนที่ต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

การปรับขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย รวมถึงความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและยุโรป รวมถึงมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและแตะระดับสูงสุดตลอดกาลแล้วถึง 19 ครั้งในปีนี้ โดยมี 7 ครั้งที่ราคาขึ้นไปเหนือ 3,000 ดอลลาร์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นับตั้งแต่ต้นปี 2024 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 18% ต่อเนื่องจากปีที่แล้วซึ่งพุ่งขึ้นถึง 27% ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือกถือครองมากขึ้น นักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจดำเนินต่อไปในระยะอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เตรียมประกาศมาตรการภาษีศุลกากรเพิ่มเติมในวันที่ 2 เมษายน และมาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ที่คาดว่าจะมีผลในวันที่ 3 เมษายน

ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันราคาทองคำให้พุ่งสูงขึ้น โดยความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงดำเนินอยู่ ขณะที่การเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ ความคิดเห็นของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กล่าวถึงรัสเซีย อิหร่าน และกรีนแลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศการเมืองโลกตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้ทองคำยิ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัย

นักวิเคราะห์จาก Heraeus Metals Germany มองว่า "ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และความต้องการของนักลงทุนที่แข็งแกร่ง สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงเอื้อต่อการลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ"

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้น

นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ระบุว่า "แม้ว่าธนาคารกลางหลายแห่งจะเข้าซื้อทองคำเพื่อลดความเสี่ยงจากการถือดอลลาร์ แต่เราไม่คิดว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการทองคำในหมู่ธนาคารกลางจะหมายถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตรง อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่สามารถรักษามูลค่าในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวน"

นอกจากนี้ ความต้องการทองคำจากนักลงทุนยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการไหลเข้าของเงินทุนเข้าสู่กองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำสูงสุดในรอบสองปี ซึ่งสะท้อนถึงการกลับมาของกระแสการซื้อโลหะมีค่า นักวิเคราะห์จาก Tradu.com กล่าวว่า "แม้จะเห็นกองทุน ETF ในอเมริกาเหนือเพิ่มการถือครองทองคำ แต่แนวโน้มโดยรวมยังสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนยุโรปที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง"

นักลงทุนกำลังจับตาดูทิศทางของราคาทองคำในไตรมาสที่สองของปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกยังคงไม่แน่นอน โดยมีการคาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2025 หากกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงแข็งแกร่ง