รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เตรียมสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35A จำนวน 12 ลำจากบริษัทล็อกฮีด มาร์ตินของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพด้านการป้องปรามนิวเคลียร์ของประเทศ และเป็นครั้งแรกที่กองทัพอากาศอังกฤษจะสามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้ตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง

นายกรัฐมนตรีเซอร์คีร์ สตาร์เมอร์ ระบุว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความมั่นคงในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอน และยืนยันว่ารัฐบาลมีความตั้งใจจริงในการลงทุนเพื่อปกป้องประเทศและยืนหยัดร่วมกับพันธมิตรนาโต

“ในโลกที่สันติภาพไม่อาจยึดถือเป็นของตายอีกต่อไป เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศของเราจะปลอดภัย” นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์กล่าว

การจัดซื้อครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบโต้เชิงยุทธวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของภัยคุกคามจากรัสเซียที่ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่บทบาทด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ในยุโรปมีแนวโน้มลดลง

เครื่องบิน F-35A รุ่นใหม่นี้สามารถติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์ B61 ซึ่งเป็นอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีของสหรัฐฯ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในอังกฤษเปิดเผยว่า อังกฤษอาจพึ่งพาการจัดหาอาวุธชนิดนี้จากฝั่งอเมริกา

ปัจจุบัน อังกฤษมีระบบป้องปรามนิวเคลียร์เพียงระบบเดียวคือเรือดำน้ำติดอาวุธไทรเดนท์ ซึ่งประสบปัญหาขัดข้องในการทดสอบอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปี 2016 และ 2023 จนนำมาสู่ความจำเป็นในการกระจายขีดความสามารถทางนิวเคลียร์ไปยังภาคอากาศอีกครั้ง

มาร์ก รุตเต เลขาธิการองค์การนาโต กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของอังกฤษว่าเป็น “หลักฐานสำคัญของพันธกิจอันแน่วแน่ต่อความมั่นคงของยุโรปและพันธมิตรนาโต”

ทั้งนี้ อังกฤษเคยถอนอาวุธนิวเคลียร์ทางอากาศรุ่นสุดท้าย (WE-177) ออกจากประจำการในปี 1998 และสหรัฐฯ ได้ย้ายอาวุธนิวเคลียร์ชุดสุดท้ายออกจากฐานทัพอังกฤษเมื่อปี 2008 การตัดสินใจล่าสุดจึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในยุคความตึงเครียดระดับภูมิภาคและโลกกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

รัฐบาลยังระบุว่าการสั่งซื้อเครื่องบินรบครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการจ้างงานกว่า 20,000 ตำแหน่งในอังกฤษ และเป็นการย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศที่จะยกระดับงบประมาณด้านกลาโหมให้แตะ 5% ของ GDP ภายในปี 2035 เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวขององค์การนาโต

"เราต้องเตรียมพร้อมทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และในประเทศ—นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราพูดถึงความเป็นไปได้ของสงครามในดินแดนของเราเอง" หนึ่งในถ้อยแถลงของรัฐบาลทิ้งท้ายอย่างชัดเจน