ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นแรงในคืนวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) ตามเวลาประเทศไทย หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมเพื่อจำกัดการส่งออกน้ำมันจากอิหร่าน ส่งผลให้ตลาดวิตกเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันทั่วโลก

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ปิดที่ 67.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.11 ดอลลาร์ หรือคิดเป็น 3.2% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) ปิดที่ 64.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขยับขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ 3.54%

การปรับขึ้นของราคาน้ำมันครั้งนี้ถือเป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ และนับเป็นการปิดตลาดสัปดาห์ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์

วานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์จากธนาคาร UBS ให้ความเห็นว่า มาตรการกดดันอิหร่านเพิ่มเติม รวมถึงท่าทีแข็งกร้าวของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันด้านอุปทาน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น

มาตรการล่าสุดจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ครอบคลุมไปถึงโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กในจีนที่เรียกว่า "กาน้ำชา" ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางหลักของอิหร่านในการส่งออกน้ำมันแบบเลี่ยงการคว่ำบาตร ทำให้เตหะรานเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์เจรจาโครงการนิวเคลียร์ที่ตึงเครียด

ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เปิดเผยว่า อิรัก คาซัคสถาน และบางประเทศสมาชิกได้ส่งแผนการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตที่เกินโควตาในช่วงที่ผ่านมา

โทนี ซิคามอร์ นักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ IG ชี้ว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นรอบนี้ มีปัจจัยหนุนจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถานะขายชอร์ต ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน

อย่างไรก็ตาม ซิคามอร์เตือนว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจกดดันราคาน้ำมันในระยะต่อไป โดยคาดว่า GDP ของจีนอาจขยายตัวเพียง 3%-4% ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัว

ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน หลายสถาบัน ทั้งโอเปก, สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA), ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ และเจพีมอร์แกน ต่างปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันและการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันโลกในสัปดาห์นี้ หลังจากที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการค้าระหว่างประเทศ