มาตรการใหม่รับมือฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ และแนวทางในปี 2568
วันที่โพสต์: 28 พฤศจิกายน 2567 12:46:27 การดู 5 ครั้ง
ในช่วงปลายปี 2567 ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและท้าทายการดำเนินงานของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่มีอากาศหนาวเย็นและลมสงบ ที่มักทำให้ฝุ่นสะสมในอากาศมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองในเมืองใหญ่ที่หนาแน่นด้วยประชากร การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นนี้จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
1. การจัดตั้ง "เขตมลพิษต่ำ" (Low Emission Zone)
หนึ่งในมาตรการที่กรุงเทพมหานครได้นำมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 คือการตั้งเขตมลพิษต่ำหรือ Low Emission Zone (LEZ) ซึ่งจะเป็นการจำกัดการเข้า-ออกของยานพาหนะที่มีมลพิษสูงเข้าสู่พื้นที่สำคัญในเมือง เช่น พื้นที่ในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ในช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงถึงระดับวิกฤต โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสภาวะหมอกควันที่เกิดจากการเผาในพื้นที่การเกษตรหรืออุตสาหกรรมที่มีมลพิษ
การจำกัดการเข้าของรถยนต์ในเขตนี้จะใช้ระบบการลงทะเบียนรถเพื่อระบุว่า รถคันไหนสามารถเข้าไปในพื้นที่ได้หรือไม่ ซึ่งจะมีการแบ่งรถที่ใช้มลพิษสูงออกจากรถที่ผ่านมาตรฐานมลพิษที่ต่ำ โดยในกรุงเทพฯ จะมีการใช้กล้อง CCTV จำนวน 259 ตัวเพื่อตรวจสอบและบังคับใช้มาตรการนี้ โดยจะใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับรถที่ละเมิดการเข้า-ออกในเขตที่มีมลพิษสูงในช่วงวิกฤต
2. การควบคุมรถบรรทุกขนาดใหญ่
อีกหนึ่งมาตรการที่สำคัญคือการควบคุมการขับขี่ของ รถบรรทุกขนาด 6 ล้อขึ้นไป ซึ่งในปัจจุบันได้มีการลงทะเบียนรถบรรทุกจำนวน 1,083 คันใน บัญชีสีเขียว เพื่อให้รถเหล่านี้สามารถเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้ในช่วงเวลาที่ฝุ่นไม่ได้อยู่ในระดับวิกฤต หากมีสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 สูงเกินไป รถที่ไม่ได้ลงทะเบียนจะถูกห้ามเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน โดยมีการกำหนดพื้นที่ห้ามเข้า 22 เขต เพื่อป้องกันการเพิ่มมลพิษที่เกิดจากการปล่อยก๊าซจากรถบรรทุก
3. การส่งเสริมการบำรุงรักษารถยนต์
กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการรณรงค์ให้ประชาชนที่มีรถยนต์หมั่นดูแลและบำรุงรักษารถของตนเอง โดยเฉพาะการ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง เพื่อช่วยลดการปล่อยมลพิษในอากาศ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพดีสามารถช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมาก
เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกรุงเทพฯ กำลังหารือกับ กระทรวงพลังงาน เพื่อให้มีมาตรการจูงใจในการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง โดยอาจมีการเสนอโปรแกรมที่ให้ประชาชนสามารถชำระค่าบริการแบบ "คนละครึ่ง" ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการนี้ได้มากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ได้ประมาณ 500,000 คันในปี 2568
4. การดำเนินการ "เวิร์คฟรอมโฮม"
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจในช่วงวิกฤตฝุ่น PM 2.5 คือการ ทำงานจากที่บ้าน หรือ เวิร์คฟรอมโฮม ซึ่งมีการรณรงค์ให้ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันลดการใช้รถยนต์ในช่วงที่มีสถานการณ์ฝุ่นวิกฤต ในปี 2567 ได้มีการดำเนินการเวิร์คฟรอมโฮมในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมรวมทั้งสิ้น 151 แห่ง และมีผู้เข้าร่วมทำงานจากที่บ้านถึง 60,279 คน ซึ่งส่งผลให้มีการลดการใช้รถยนต์ในกรุงเทพฯ ถึง 8% จากค่าเฉลี่ยปริมาณรถยนต์ที่สัญจรผ่าน
ในปี 2568 กรุงเทพมหานครตั้งเป้าหมายที่จะมีผู้ทำงานจากที่บ้านเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คน ซึ่งการสนับสนุนนี้จะช่วยลดการสัญจรของรถยนต์และลดมลพิษในอากาศได้อย่างมาก
5. การสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ เพื่อควบคุมและลดการปล่อยมลพิษจากการเผาวัสดุในพื้นที่เกษตร การตั้งคณะกรรมการเพื่อประสานงานและจัดการกับปัญหานี้จะมีส่วนสำคัญในการลดจุดความร้อนจากการเผา โดยตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนให้ได้ 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในส่วนของการเกษตรนั้น มาตรการ ไม่ให้เกษตรกรเผาพืชในที่การเกษตร กำลังได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลในการรณรงค์ไม่ให้มีการเผาอ้อย ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของฝุ่น PM 2.5
6. การตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและควบคุมฝุ่น
รัฐบาลได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและควบคุมฝุ่น PM 2.5 เพื่อทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรณีเกิดสถานการณ์วิกฤต โดยคณะกรรมการจะมีการตรวจสอบและจัดทำแผนการเฝ้าระวังหมอกควันจากการเกษตร, พื้นที่อุตสาหกรรม, พื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ยังได้เตรียมการสนับสนุนงบประมาณที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว
การตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนจากการเผาให้ได้ 25% ภายในปี 2568 คงจะเป็นการทดสอบความสามารถในการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ และการร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดมลพิษและปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง.
แนวทางในอนาคต
การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่สามารถทำได้โดยภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยการร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ, เอกชน, ชุมชน และประชาชน โดยมาตรการที่กล่าวถึงในปี 2568 นี้จะเป็นก้าวสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และจะช่วยสร้างแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองใหญ่
แท็ก: ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาฝุ่น