ทิศทางค่าเงินบาท ปัจจัยที่ส่งผลและแนวโน้มในสัปดาห์หน้า
วันที่โพสต์: 25 พฤศจิกายน 2567 08:59:26 การดู 4 ครั้ง
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 34.52 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในช่วง 34.39-34.62 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอลงของโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังได้รับแรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์หลังจากที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการในสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนออกมาดีกว่าคาด แต่เงินบาทยังได้รับการสนับสนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งล่าสุดราคาทองคำได้พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 2,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้แรงขายสินทรัพย์ดอลลาร์ (Long USD) จากนักลงทุนในตลาดมีผลจำกัดการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงนี้
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เงินดอลลาร์จะมีการแข็งค่าขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของปีนี้ แต่เงินบาทก็ยังสามารถรับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำและการขายสินทรัพย์จากนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงจากช่วงก่อนหน้า ซึ่งช่วยให้เงินบาทไม่อ่อนค่ามากจนเกินไป
สำหรับสัปดาห์นี้ นักกลยุทธ์ตลาดเงินของธนาคารกรุงไทยประเมินว่า นักลงทุนควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และ CPI ของยูโรโซน รวมถึงการพัฒนาในสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงิน โดยเฉพาะในส่วนของการปรับตัวของดอลลาร์และยูโร
ในมุมมองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนตุลาคมและยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่อาจสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยจากเฟดในเดือนธันวาคม ขณะที่ในยุโรป ข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนในเดือนพฤศจิกายนและถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่ ECB จะช่วยให้ตลาดประเมินได้ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ โดยมีโอกาสสูงที่ ECB จะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
ส่วนในเอเชีย จุดสำคัญจะอยู่ที่ข้อมูล PMI ของจีนในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จีนเริ่มใช้อยู่ตั้งแต่เดือนกันยายนจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ ขณะที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ก็มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัว
สำหรับในประเทศไทย แนวโน้มของเงินบาทในระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการฟื้นตัวของการส่งออก ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าในเดือนตุลาคมจะขยายตัวประมาณ 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การนำเข้าอาจเติบโตประมาณ 6.3% ส่งผลให้ดุลการค้าอาจขาดดุลเล็กน้อย 300 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยเกินดุลในเดือนกันยายน
ในเชิงเทคนิค สัญญาณจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น RSI, MACD และ Stochastic ในกรอบเวลา 1 วัน แสดงว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงแล้ว ทำให้มีโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ โดยหากเงินบาทสามารถทะลุผ่านแนวรับที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ ก็อาจส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อไปและทดสอบแนวรับถัดไปที่ 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์
การประเมินแนวโน้มในระยะสั้น คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.20-34.85 บาทต่อดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ โดยการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเคลื่อนไหวของดอลลาร์, ราคาทองคำ, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน, และทิศทางการลงทุนจากต่างชาติ
ในส่วนของเงินดอลลาร์ แม้ว่าจะมีแรงหนุนจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในโลก แต่ตลาดยังมองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดในช่วงถัดไป ซึ่งอาจส่งผลให้เงินดอลลาร์ไม่แข็งค่าขึ้นมากนักในระยะสั้น ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 2 ครั้งในปีหน้า
ผู้เล่นในตลาดควรระมัดระวังความผันผวนและใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การทำสัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward) หรือการใช้ตัวเลือก (Options) เพื่อจัดการกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในช่วงเวลาที่ความผันผวนสูง
แท็ก: ดอลลาร์สหรัฐ เงินบาท