ซีพีเอฟ โชว์กำไรไตรมาส 3 ปี 2567 โต 504% จากการปรับกลยุทธ์และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลการดำเนินงานของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในไตรมาส 3 ปี 2567 แสดงการเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 504% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากราคาสุกรในหลายประเทศที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในเวียดนามที่มีปริมาณสุกรลดลงจากโรคระบาดก่อนหน้า นอกจากนี้ ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ลดลงเนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต และการควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ต่ำลง พร้อมทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงและการบริหารจัดการวัตถุดิบทดแทนเพื่อให้ได้โภชนาการที่เหมาะสม

ไตรมาสนี้ ซีพีเอฟมีรายได้รวม 142,703 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของกิจการในต่างประเทศร้อยละ 62 และในประเทศร้อยละ 38 โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,309 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการขาดทุนสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ 1,810 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเป็นร้อยละ 15.4 จากเดิมร้อยละ 10 ในปีที่แล้ว ทั้งนี้ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า โดยเฉพาะในธุรกิจอาหารสัตว์และสุกรในจีนที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 592%

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ระบุว่าผลประกอบการที่ดีขึ้นในปีนี้มาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและกลยุทธ์การดำเนินงานที่ตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และพฤติกรรมของผู้บริโภคในท้องถิ่นที่เปลี่ยนแปลงไป โดยซีพีเอฟได้เน้นการควบคุมต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการทำให้บริษัทมีฐานที่แข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องในอนาคต

หลังสถานการณ์โควิดและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ซีพีเอฟจึงปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พร้อมมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ควบคู่กับการดูแลห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด เพื่อสนับสนุนการเติบโตที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและสังคมในแนวทางที่เรียกว่า “นวัตกรรมความยั่งยืน” หรือ “Sustainovation” ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมความมั่นคงในอนาคต