Temu และการแบนจากหลายประเทศ: ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซจีน
วันที่โพสต์: 14 พฤศจิกายน 2567 10:31:18 การดู 24 ครั้ง
Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดโลก กำลังเผชิญกับวิบากกรรมหลายด้าน ทั้งจากการแบนในบางประเทศและนโยบายด้านภาษีที่เข้มงวด โดยเฉพาะนโยบายที่เข้มข้นจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มจะสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ต่อ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีนรายอื่น ๆ
Temu ก่อตั้งโดย PDD Holdings Inc. และเริ่มขยายตลาดอย่างรวดเร็ว จนเข้าถึงกว่า 49 ประเทศภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี จุดเด่นของ Temu คือการขายสินค้าราคาถูกอย่างมาก ผ่านกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หลากหลาย ส่งผลให้ Temu กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซหลายราย เช่น Amazon อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เข้มข้นนี้ก็ทำให้ Temu เผชิญกับการตรวจสอบและข้อจำกัดทางกฎหมายในหลายประเทศ
ในอินโดนีเซีย รัฐบาลขอให้ Google และ Apple บล็อกแอปพลิเคชัน Temu ในประเทศ เนื่องจาก Temu ยังไม่ได้จดทะเบียนถูกต้อง อีกทั้ง Temu ถูกมองว่าเสนอราคาสินค้าต่ำมากจนกระทบผู้ประกอบการท้องถิ่น ด้านเวียดนามก็เริ่มออกมาตรการควบคุม โดยเรียกร้องให้ Temu จดทะเบียนในประเทศ และกำลังพิจารณายกเลิกการลดหย่อนภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญคือการประกาศแผนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหากนำมาใช้จริงจะกระทบต่อราคาสินค้า Temu โดยตรง ทรัมป์มีแผนกำหนดภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศ และ 60% สำหรับสินค้าที่มาจากจีน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสินค้าสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าผลจากการขึ้นภาษีนี้จะทำให้ครอบครัวรายได้ปานกลางต้องเสียเงินเพิ่มมากถึง 1,700 - 3,900 ดอลลาร์ต่อปี
นอกจากนี้ ฝ่ายรัฐบาลไบเดน-แฮร์ริส ก็มีแผนที่อาจจะกระทบ Temu โดยการปิดช่องโหว่ทางภาษีที่ให้สินค้ามูลค่าต่ำไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งจะเป็นการป้องกันการอำนวยประโยชน์ให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Temu และ SHEIN ที่ได้รับความได้เปรียบจากกฎหมายยกเว้นภาษีนี้
Temu แม้จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วด้วยกลยุทธ์ราคาถูก แต่การละเมิดกฎระเบียบในหลายประเทศ และการปรับนโยบายด้านภาษีในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความท้าทายและความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซระดับโลก