Microsoft เตรียมยุติการซัพพอร์ต Windows 10 ในปี 2025 ทางเลือกใหม่และผลกระทบที่ผู้ใช้ควรทราบ
วันที่โพสต์: 7 พฤศจิกายน 2567 10:57:09 การดู 20 ครั้ง
Microsoft จะยุติการให้ซัพพอร์ตระบบปฏิบัติการ Windows 10 ในวันที่ 10 เดือน ตุลาคม 2025 โดยจะไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยหรือการแก้ไขบั๊กใหม่ ๆ ให้กับระบบนี้อีกแล้ว หลังจากนั้นผู้ใช้ที่ยังคงใช้งาน Windows 10 จะไม่สามารถรับการอัปเดตทางด้านความปลอดภัยจาก Microsoft ได้ ซึ่งเป็นการกระทำที่คล้ายกับตอนที่ Windows 7 สิ้นสุดการซัพพอร์ตไปเมื่อปี 2020
อย่างไรก็ตาม Microsoft ได้เสนอทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่พร้อมอัปเกรดไป Windows 11 ผ่านโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับการอัปเดตด้านความปลอดภัยในระยะเวลาที่จำกัดไปจนถึงปี 2032 โดยโปรแกรมนี้จะเปิดให้ต่ออายุในปีแรก (One-year option) ในราคา $30 หรือประมาณ 1,015 บาท สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม ESU
โปรแกรม ESU (Extended Security Updates) เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ใช้ Windows 10 ที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการอัปเกรดไปยัง Windows 11 สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการต่อไปได้อย่างปลอดภัย โดยการรับการอัปเดตด้านความปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งราคาของโปรแกรมนี้ในปีแรกอยู่ที่ $30 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่ยังไม่ชัดเจนว่า จะสามารถต่ออายุได้ในปีที่ 2 และปีที่ 3 หรือไม่ โดยมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเปิดเผยรายละเอียดนี้ในช่วงเดือน ตุลาคม 2025 นี้
สำหรับผู้ใช้ในฝั่ง องค์กร โปรแกรม ESU จะมีราคาเริ่มต้นที่ $61 และจะเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากองค์กรต้องการความปลอดภัยในระดับสูงมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งการใช้งาน ESU จะช่วยให้สามารถใช้งาน Windows 10 ต่อไปได้โดยไม่มีปัญหาความปลอดภัย
ผลกระทบจากการยุติการซัพพอร์ต
แม้ว่า Windows 10 จะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติหลังจากการยุติซัพพอร์ต แต่ผู้ใช้ที่เลือกจะไม่ต่ออายุโปรแกรม ESU จะไม่สามารถรับการอัปเดตความปลอดภัยได้ ซึ่งอาจทำให้เครื่องที่ยังคงใช้ Windows 10 ถูกโจมตีจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่าง ๆ ซึ่งเสี่ยงต่อข้อมูลและความปลอดภัยของระบบ
สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการต่อ ESU และไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ได้ ก็จะมีความเสี่ยงจากการใช้งานระบบปฏิบัติการที่ไม่ได้รับการดูแลจาก Microsoft อีกต่อไป และมีความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การติดไวรัส, มัลแวร์, หรือการโจมตีจากช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทำไมผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้ Windows 10
แม้ว่า Windows 11 จะเปิดตัวไปแล้ว แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้ Windows 10 ด้วยเหตุผลหลายประการ รวมถึง:
- ความเสถียร – Windows 10 ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่เสถียรที่สุดรุ่นหนึ่งของ Microsoft โดยมีปัญหาน้อยกว่ารุ่นใหม่ เช่น Windows 11 ซึ่งยังมีข้อบกพร่องบางประการจากการเปิดตัวในช่วงแรก
- รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า – Windows 10 รองรับการทำงานกับฮาร์ดแวร์ที่มีอายุหลายปีได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องมี TPM 2.0 (ชิปสำหรับตรวจสอบความปลอดภัย) ซึ่งเป็นข้อกำหนดของ Windows 11
- การอัปเกรดที่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่ – Windows 11 มีข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ที่เข้มงวด เช่น ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ๆ เช่น Intel Gen 8 หรือ AMD Ryzen 2000 ขึ้นไป ทำให้คอมพิวเตอร์เก่า ๆ ไม่สามารถอัปเกรดได้ หากผู้ใช้ต้องการอัปเกรดเครื่องไปใช้ Windows 11 ก็จะต้องลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่
ความท้าทายในการอัปเกรดไป Windows 11
สำหรับผู้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ๆ ที่ไม่สามารถติดตั้ง Windows 11 ได้ พวกเขาอาจต้องพิจารณาซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่เพื่อใช้งาน Windows 11 หรือจะเลือกใช้ Windows 10 ต่อไปในระยะยาว ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใหม่และการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
การเลือกที่จะอยู่กับ Windows 10 ยังสามารถช่วยลดการทิ้งอุปกรณ์ที่ยังสามารถใช้งานได้ นอกจากนี้การรักษาเครื่องเก่าก็ช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากการทิ้งอุปกรณ์ที่ยังสามารถใช้งานได้ในทางเทคนิค
การยุติการซัพพอร์ตของ Windows 10 ในปี 2025 เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องเตรียมตัวรับมือ โดยมีตัวเลือกในการขยายเวลาการซัพพอร์ตผ่านโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) แม้ว่า Windows 10 จะยังสามารถใช้งานได้หลังจากการยุติการซัพพอร์ต แต่การเลือกไม่อัปเกรดอาจเสี่ยงต่อการไม่รับการอัปเดตความปลอดภัย ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยของผู้ใช้เสี่ยงต่อการโจมตีจากภายนอก
ที่มา microsoft