ตลาดข้าวโลกผันผวน หลังอินเดียกลับมาบุกตลาด ส่งออกข้าวแข่งเดือด ไทยสูญเสียส่วนแบ่ง
วันที่โพสต์: 5 พฤศจิกายน 2567 19:49:50 การดู 13 ครั้ง
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ตลาดข้าวโลกกำลังเผชิญภาวะการแข่งขันที่ดุเดือด หลังจากที่อินเดียได้ยกเลิกมาตรการจำกัดการส่งออกข้าวและภาษีที่เคยใช้เพื่อควบคุมราคาในประเทศ ในขณะเดียวกัน การกลับมาของอินเดียในตลาดโลกส่งผลให้ไทยซึ่งเคยครองตลาดข้าวบางส่วนต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดข้าวต่างประเทศ
ไทยยังคงครองอันดับ 2 ส่งออกข้าวโลก แต่เสียส่วนแบ่งบางส่วนให้อินเดีย
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยข้อมูลจากกรมศุลกากรว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) ไทยส่งออกข้าวไปแล้วกว่า 7.4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 172,019 ล้านบาท หรือประมาณ 4,833.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งปริมาณการส่งออกข้าวของไทยเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความต้องการข้าวไทยในตลาดโลกที่ยังคงสูงขึ้น แต่การกลับมาของอินเดียคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งของไทย โดยเฉพาะในตลาดแอฟริกาและตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดหลักที่นิยมข้าวราคาย่อมเยา
อินเดียขยายตลาดข้าวนึ่งและข้าวขาว ราคาถูกกว่าไทย
ขณะนี้อินเดียกลับมาเร่งการส่งออกข้าวนึ่งและข้าวขาว ด้วยราคาที่ถูกกว่า โดยข้าวขาว 5% ของอินเดียขายอยู่ที่ 444-448 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวขาวของไทยซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 507 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศเริ่มหันมาซื้อข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ข้าวนึ่งจากอินเดียยังราคาถูกกว่าเช่นกัน โดยอยู่ที่ 439-443 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ของไทยอยู่ที่ 522 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งราคาที่ต่ำกว่านี้ส่งผลให้อินเดียสามารถกลับมาชิงส่วนแบ่งจากไทยในตลาดแอฟริกาและเอเชียได้อย่างรวดเร็ว
แนวโน้มและกลยุทธ์การส่งออกของไทย
ถึงแม้ไทยจะยังคงเป็นอันดับ 2 ของโลกด้านการส่งออกข้าว แต่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดการณ์ว่า การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศต้องการข้าวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลปีใหม่และคริสต์มาส นอกจากนี้ประเทศคู่แข่งอื่น ๆ เช่น เวียดนาม ปากีสถาน และสหรัฐฯ ก็เพิ่มการส่งออกข้าวเช่นกัน โดยเวียดนามยังคงแข็งแกร่งในตลาดข้าวคุณภาพสูง และปากีสถานเพิ่มการส่งออกขึ้นอย่างมากถึง 74.4% ในปีนี้
นายเจริญกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการรับมือกับการขยายตัวของอินเดีย ผู้ส่งออกข้าวไทยอาจต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์ เช่น การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิของไทยที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศสหรัฐฯ แคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์ อีกทั้งต้องพัฒนาคุณภาพและกระบวนการผลิตให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกได้มากขึ้น
คาดการณ์ตลาดส่งออกในอนาคตและผลกระทบต่อราคาในประเทศ
ตลาดข้าวโลกในช่วงปลายปี 2567 น่าจะมีความผันผวนมากขึ้น สะท้อนจากราคาข้าวที่มีแนวโน้มลดลง ท่ามกลางภาวะการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง โดยนักวิเคราะห์คาดว่า หากไทยไม่สามารถรักษาความโดดเด่นในด้านคุณภาพและชื่อเสียงของข้าวได้ ไทยอาจเสี่ยงต่อการเสียส่วนแบ่งในตลาดโลกไปให้อินเดียในระยะยาว นอกจากนี้ยังต้องจับตาว่าปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกข้าวอีกด้วย
ทั้งนี้ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการปรับตัวของประเทศผู้ซื้อซึ่งอาจหันไปเลือกซื้อตามราคาที่ถูกกว่ามากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ส่งออกไทยจึงจำเป็นต้องเพิ่มความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อหาแนวทางและโอกาสใหม่ ๆ ในการเสริมสร้างเสถียรภาพและความแข็งแกร่งของตลาดข้าวไทยในระยะยาว