ภาพรวมหนี้เสียในไทย ความท้าทายและโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันที่โพสต์: 4 พฤศจิกายน 2567 11:12:46 การดู 22 ครั้ง
ตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในกลุ่มรายย่อยที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ค้างการชำระหนี้เกิน 30-90 วัน รวมถึงกลุ่มหนี้ที่มีระยะเวลาการชำระไม่เกิน 1 ปี เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรถยนต์
แนวทางเบื้องต้นที่กระทรวงการคลังเสนอคือ การไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในระยะเวลา 3 ปี ลูกหนี้จะต้องชำระเฉพาะเงินต้น และขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้ยาวขึ้น โดยให้จ่ายเงินต้นเพียง 50% ของจำนวนเงินที่เคยจ่ายในแต่ละงวด มุ่งเน้นไปที่หนี้บ้านที่มียอดสินเชื่อไม่เกิน 3 ล้านบาท และหนี้รถที่มียอดหนี้ประมาณ 8-9 แสนบาท ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนในระดับกลางถึงล่างสามารถกลับมาเป็นลูกหนี้ปกติได้อีกครั้ง
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่าการดำเนินการตามมาตรการนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการพักดอกเบี้ยที่สามารถลดภาระของลูกหนี้ได้ ทำให้มีเงินเหลือเพื่อชำระเงินต้นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายสุรพล ยังกังวลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตที่ไม่มีหลักประกัน โดยระบุว่ายังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินการเกี่ยวกับสินเชื่อประเภทนี้
สำหรับสถานการณ์สินเชื่อผู้บริโภคในภาพรวม ณ เดือนสิงหาคม 2567 สินเชื่อผู้บริโภคทั้งระบบอยู่ที่ 13.63 ล้านล้านบาท โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการเติบโตขึ้น 3.2% ขณะที่สินเชื่อรถยนต์ลดลง 4.6% และสินเชื่อบัตรเครดิตมีการเพิ่มขึ้น 0.3%
สถานะหนี้เสียที่ค้างชำระเกิน 90 วัน ณ เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่กว่า 1.18 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะหนี้บ้านและรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ในขณะที่มาตรการนี้มีความหวังที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระยะยาว แต่ยังคงต้องติดตามดูว่าภาครัฐจะสามารถดำเนินการแก้ไขหนี้ที่ไม่มีหลักประกันได้อย่างไรในอนาค
หนี้เสียในกลุ่มรายย่อย: การตอบสนองจากรัฐเพื่อบรรเทาภาระการเงินของประชาชน
ในวันที่ 19 ตุลาคม 2567 นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ของเครดิตบูโร ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้ในประเทศไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 โดยเน้นว่าแม้ว่าตัวเลขในช่วงนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากน้ำท่วมในบางพื้นที่ แต่ตัวเลขที่น่าสนใจจะมีการสรุปในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567
ยอดสินเชื่อและการเติบโต: จากข้อมูลที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร พบว่าสินเชื่อรวมอยู่ที่ 13.63 ล้านล้านบาท โดยการเติบโตเปรียบเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 0.8% ในขณะที่หนี้เสีย (NPL) ยังคงอยู่ที่ 1.18 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน 8.7% ของยอดสินเชื่อรวม ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินของประเทศ
หนี้กำลังจะเสีย: หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) ยังคงอยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.7% โดยมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) ที่เริ่มบันทึกข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จำนวนบัญชีที่ทำการปรับโครงสร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบัญชี โดยมีจำนวนเงินสะสมจากการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท
การลดดอกเบี้ยของกนง.: ข้อมูลที่เผยแพร่จากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ชี้ให้เห็นถึงการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าในช่วงนี้สินเชื่อ SME จะติดลบถึง 3.3% แต่หนี้เสียในกลุ่ม SMEs ยังคงอยู่ที่ 9.1%
ผลกระทบจากมาตรการต่าง ๆ: ลูกหนี้เริ่มร้องเรียนเกี่ยวกับการที่การเข้าร่วมโครงการ DR ทำให้พวกเขาถูกปฏิเสธสินเชื่อใหม่ โดยไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้
ด้วยสถานการณ์เหล่านี้ การตอบสนองของรัฐและการแก้ไขปัญหาหนี้เสียจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีความเร่งด่วน และการพัฒนาแนวทางที่ชัดเจนจะช่วยบรรเทาภาระการเงินของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต