ครม.เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลให้สัญชาติ
วันที่โพสต์: 30 ตุลาคม 2567 15:54:48 การดู 7 ครั้ง
การรายงานล่าสุดจากนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะให้กับกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมถึงกลุ่มบุตรที่เกิดในประเทศ โดยมีผู้ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงดังกล่าวประมาณ 483,626 คน นโยบายใหม่นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเร่งกระบวนการรับรองสถานะทางกฎหมาย ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและความซับซ้อนของกระบวนการ รวมถึงเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นได้อย่างสะดวกขึ้น
รายละเอียดและความสำคัญของหลักเกณฑ์ใหม่
การแก้ไขปรับปรุงในครั้งนี้มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนราชการที่ซับซ้อน โดยเฉพาะกระบวนการตรวจสอบเอกสารและการสอบสวนผู้ยื่นคำขอ ซึ่งแต่เดิมต้องผ่านคณะกรรมการหลายชั้น ทำให้การดำเนินงานยืดเยื้อและขาดประสิทธิภาพ ในหลักเกณฑ์ใหม่นี้ สมช. ได้เสนอลดขั้นตอนการรับรองตนเองของผู้ยื่น และลดความจำเป็นต้องผ่านคณะอนุกรรมการ ทำให้สามารถพิจารณาสถานะบุคคลได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังแบ่งมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและนอกเขตกรุงเทพฯ สามารถอนุมัติสัญชาติและใบถิ่นที่อยู่ถาวรได้อย่างอิสระ ลดความแออัดและกระจายความรับผิดชอบในระดับท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กลุ่มเป้าหมายหลัก
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้จะครอบคลุมชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งมีประมาณ 215,000 คน รวมถึงกลุ่มบุตรที่เกิดในประเทศไทยจากชนกลุ่มน้อยอีกประมาณ 29,000 คน และบุตรที่เกิดจากบุคคลไร้สัญชาติที่มีจำนวนประมาณ 113,000 คน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทำทะเบียนประวัติของกลุ่มเหล่านี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2554 โดยการสำรวจและจัดทำข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลไร้สัญชาติ ที่จะสามารถเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข และโอกาสการทำงานได้ในอนาคต
ดร.นฤมล อรุโณทัย นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในบทความ ‘ปัญหาคนไร้สัญชาติ ซับซ้อนแต่ไม่ไร้ความหวัง’ โดยระบุว่าคนไร้สัญชาติไม่ได้รับสิทธิเหมือนกับคนสัญชาติไทยในหลายด้าน เช่น การเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณสุข การเดินทางเพื่อทำงานหรือศึกษาต่อ ซึ่งปัญหานี้สร้างข้อจำกัดในชีวิตประจำวันอย่างมาก รัฐบาลไทยจึงมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ตั้งแต่ปี 2548 เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนหนังสือได้โดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐาน รวมถึงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในระดับประถมศึกษาให้เท่ากับเด็กสัญชาติไทย นอกจากนี้ ในด้านการสาธารณสุขก็มีมติ ครม. ในปี 2553 และ 2558 ที่ให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลการรักษาพยาบาลเฉพาะผู้ที่มีเลขประจำตัว 13 หลัก และมีกฎระเบียบที่ช่วยลดข้อจำกัดบางประการ แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคให้ต้องพัฒนาต่อไป
ข้อดีของการแก้ปัญหาสถานะบุคคลไร้สัญชาติ
การปรับปรุงครั้งนี้มีผลดีต่อประเทศไทยหลายประการ ทั้งในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ บุคคลไร้สัญชาติที่ได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย จะสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเต็มที่ เช่น การประกอบอาชีพ การทำธุรกรรมทางการเงิน และการเข้าถึงบริการสาธารณะ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจและพัฒนาโอกาสทางชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น ในด้านความมั่นคงเอง การจัดระเบียบบุคคลเหล่านี้ให้มีสถานะทางกฎหมายจะช่วยลดปัญหาความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในสังคม เนื่องจากบุคคลที่มีสัญชาติจะอยู่ในระบบทะเบียนประวัติและสามารถติดตามตัวได้ในกรณีจำเป็น
ความซับซ้อนทางกฎหมายและความพยายามของรัฐ
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีความพยายามในการแก้ปัญหาบุคคลไร้สัญชาติมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเผชิญกับความซับซ้อนของกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ทำให้กระบวนการนี้ต้องใช้เวลานาน มติ ครม. ครั้งล่าสุดนี้จึงเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นและรวดเร็วมากขึ้น โดยปรับปรุงจากมติเดิมในปี 2564 ที่ครอบคลุมการกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามา โดยเฉพาะผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรที่ไม่ได้รับสัญชาติไทย ทั้งนี้ เพื่อให้กลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานได้รับสิทธิตามหลักสากลและสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ
การสื่อสารและความเข้าใจในสังคม
ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการให้สัญชาติไทยอัตโนมัติแก่เด็กชาวเมียนมาร์ในกรณีที่มีอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่งเผยแพร่ข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลไทยไม่ได้ให้สัญชาติอัตโนมัติกับบุคคลไร้สัญชาติทุกคน โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ชี้แจงว่าสิทธิที่รัฐบาลไทยให้ครอบคลุมเพียงการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชนเท่านั้น เช่น การดูแลสุขภาพและการศึกษา ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อที่ 22 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาสถานะและสัญชาติให้กับบุคคลที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมถึงบุตรที่เกิดในประเทศไทย โดยเป็นการร่นระยะเวลาดำเนินการจากเดิมที่ใช้เวลาหลายเดือนให้เหลือเพียง 5 วัน ซึ่งมาตรการนี้เสนอโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและมีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเหลือกลุ่มชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมานาน โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 483,626 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อยตามช่วงเวลาการเข้ามาในประเทศ
แบ่งกลุ่มตามช่วงเวลา
- กลุ่มที่เข้ามาระหว่างปี พ.ศ. 2527–2542 ประมาณ 120,000 คน
- กลุ่มที่เข้ามาระหว่างปี พ.ศ. 2548–2554 ประมาณ 215,000 คน
- กลุ่มบุตรของชนกลุ่มน้อยที่เกิดในไทย ประมาณ 29,000 คน
- กลุ่มบุตรของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนที่เกิดในไทย มีการสำรวจแล้วประมาณ 113,000 คน
หลักเกณฑ์การพิจารณา
มาตรการนี้ครอบคลุมถึงบุคคลที่มีการจัดทำทะเบียนประวัติไว้จนถึงปี พ.ศ. 2542 และบุคคลที่อพยพเข้ามาภายในปีเดียวกัน โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ เช่น ต้องมีชื่อในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ, อาศัยอยู่ในไทยไม่น้อยกว่า 15 ปี, และแสดงความจงรักภักดีต่อประเทศไทยและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งต้องไม่มีสถานะอื่นหรือจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศต้นทาง
กระบวนการและการลดระยะเวลาดำเนินการ
การลดระยะเวลาการขอสถานะเป็น 5 วัน ได้กำหนดกระบวนการใหม่ ดังนี้:
การขอใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ของชนกลุ่มน้อย:
- ยื่นคำขอพร้อมหลักฐาน, ตรวจคุณสมบัติและเอกสาร (1 วัน)
- พิจารณาอนุญาต (3 วัน)
- เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านและทำบัตรประจำตัวบุคคล (1 วัน)
การขอสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างชาติ:
- ยื่นคำขอพร้อมหลักฐาน, ตรวจคุณสมบัติและเอกสาร (1 วัน)
- พิจารณาอนุญาต (3 วัน)
- เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านและทำบัตรประชาชนไทย (1 วัน)
มาตรการนี้มุ่งช่วยให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวสามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการพื้นฐานที่พึงมีในประเทศไทย รวมถึงเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในสังคมไทย