เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันครบรอบการก่อตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ครบ 56 ปี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการดำเนินงานของ กฟผ. มาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ โดยระบุว่า กฟผ. ยังคงยืนหยัดในภารกิจการดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ และพร้อมขับเคลื่อนระบบพลังงานของไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความมั่นคง ความยืดหยุ่น และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2512 ซึ่งเป็นปีที่ กฟผ. ถือกำเนิดขึ้น ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้าเพียง 908 เมกะวัตต์ แต่ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมไทย กำลังการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 52,000 เมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้เป็นกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. เองถึงกว่า 16,000 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 31% ของระบบทั้งหมด ขณะเดียวกัน กฟผ. ยังมีโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเป็นระยะทางรวมกว่า 40,000 วงจร-กิโลเมตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสใหม่ให้กับประชาชนไทยทุกภาคส่วน

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด กฟผ. ตระหนักถึงความจำเป็นในการวางรากฐานที่มั่นคงและยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยต้องหาสมดุลระหว่างแหล่งพลังงานเดิมอย่างเชื้อเพลิงฟอสซิล กับแหล่งพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลมซึ่งแม้จะเป็นพลังงานสะอาดแต่ยังมีข้อจำกัดด้านความเสถียรของการผลิต กำลังการผลิตจริง (Capacity Factor) ของพลังงานเหล่านี้ยังอยู่ที่ราว 17-20% เท่านั้น จึงจำเป็นต้องเสริมระบบให้มีความทันสมัยและรองรับความผันผวนได้ดีขึ้น

ด้วยเหตุนี้ กฟผ. จึงได้ดำเนินโครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้เป็นแบบยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) ซึ่งสามารถปรับระดับการผลิตขึ้นหรือลงได้ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา ตลอดจนเพิ่มความสามารถของระบบส่งไฟฟ้าให้เป็นแบบยืดหยุ่นเช่นกัน โดยติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ และใช้โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเข้ามาช่วยบริหารจัดการโหลดไฟฟ้าในช่วงพีค อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อใช้ข้อมูลล่วงหน้าในการวางแผนเดินเครื่องโรงไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแหล่งพลังงานที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant – VPP) ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์รวมและควบคุมการทำงานของโรงไฟฟ้าหลากหลายประเภทและระบบกักเก็บพลังงานเข้าไว้ด้วยกัน โดยสามารถบริหารจัดการแหล่งพลังงานหมุนเวียนจากหลายพื้นที่ให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการผลักดันมาตรการบริหารฝั่งการใช้พลังงาน (Demand Side Management – DSM) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในภาคประชาชน

ในด้านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด กฟผ. เตรียมเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบได้อย่างมีนัยสำคัญ

อีกหนึ่งทิศทางสำคัญของ กฟผ. คือการศึกษาและสร้างความเข้าใจต่อเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR (Small Modular Reactor) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมโรงไฟฟ้าแห่งอนาคตที่ให้ทั้งความปลอดภัยสูง ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถทำงานร่วมกับพลังงานหมุนเวียนได้อย่างลงตัว โดย SMR ถูกออกแบบมาในลักษณะโมดูล ทำให้สามารถผลิตและประกอบในโรงงานก่อนนำมาติดตั้งจริง ช่วยลดต้นทุนการก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ และมีระบบความปลอดภัยที่ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งจ่ายไฟภายนอก ทั้งยังมีขนาดเล็กกว่าระบบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมมาก จึงลดพื้นที่ควบคุมและความเสี่ยงในกรณีฉุกเฉินได้อย่างชัดเจน

ในด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. ได้เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายส่งกำลังไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 กิโลโวลต์ และ 230 กิโลโวลต์ ทั่วประเทศ ให้มีความทันสมัยและเป็นระบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับรูปแบบการผลิตพลังงานที่หลากหลาย โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่มีการกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากศูนย์กลางการผลิตดั้งเดิม

ขณะเดียวกัน กฟผ. ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยการนำของเหลือจากกระบวนการผลิตไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ เช่น การพัฒนาเถ้าลอยลิกไนต์ให้กลายเป็นคอนกรีตมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ทดแทนปูนซีเมนต์แบบดั้งเดิม รวมถึงการผลิตฮิวมิคแบบน้ำจากแร่ลีโอนาร์ไดต์ในพื้นที่เหมืองแม่เมาะ ซึ่งสามารถใช้ปรับปรุงดินเสื่อมโทรม บำบัดน้ำเสีย และต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเร่งขยายเครือข่ายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า “EleX by EGAT” ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรวมแล้วกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายให้ได้ถึง 520 แห่งภายในปี 2568 เพื่อรองรับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล

ท้ายที่สุด กฟผ. ยังเตรียมเปิดตัวฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5 โฉมใหม่ ซึ่งพัฒนาร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน โดยฉลากใหม่นี้จะเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ของประเทศในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในระยะยาว