ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยส่งสัญญาณถึงทิศทางใหม่ในความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สร้างความปั่นป่วนต่อตลาดการเงินทั่วโลกจากการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา

ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า เขาไม่ต้องการให้ภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มสูงเกินไป เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อสินค้าได้

“ผมไม่อยากให้ภาษีเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เพราะถึงจุดหนึ่ง มันจะทำให้คนไม่ซื้อของ” ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า “บางทีผมอาจไม่ขึ้นภาษีเลยด้วยซ้ำ หรืออาจจะลดลงก็ได้ เพราะสุดท้ายคุณต้องการให้คนจับจ่าย”

คำพูดของทรัมป์สะท้อนถึงท่าทีที่อ่อนลงจากเดิมที่เขาเคยผลักดันมาตรการภาษีเข้มข้นต่อประเทศต่างๆ หลายสิบแห่ง โดยเฉพาะจีน ซึ่งได้ตอบโต้กลับด้วยมาตรการของตนเอง ทำให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวนตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

แม้จะยังคงเก็บภาษีที่ 10% สำหรับสินค้าหลายรายการที่นำเข้าสหรัฐฯ แต่ทรัมป์ได้ชะลอการปรับขึ้นภาษีเพิ่มเติม เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับจีน อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 145% หลังจากจีนตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีเช่นกัน

จีนเองก็แสดงท่าทีในสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยระบุว่าจะไม่ยอม "เล่นเกมตัวเลข" กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจีนเองก็ไม่ต้องการยกระดับภาษีต่อไป

ทรัมป์กล่าวเพิ่มเติมว่าจีนได้ติดต่อมายังรัฐบาลสหรัฐฯ นับตั้งแต่มีการขึ้นภาษี และเขาเชื่อว่า “มีความเป็นไปได้” ที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้

ในประเด็นเรื่อง TikTok ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันวิดีโอสั้นที่มีผู้ใช้งานกว่า 170 ล้านรายในสหรัฐฯ และอยู่ภายใต้การดำเนินการของบริษัท ByteDance จากประเทศจีน ทรัมป์ระบุว่าแผนการขายสินทรัพย์ของ TikTok ในสหรัฐฯ อาจต้องเลื่อนออกไปจนกว่าประเด็นทางการค้าจะได้รับการแก้ไข

“เรามีข้อตกลงเกี่ยวกับ TikTok อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างยังต้องขึ้นอยู่กับจีน ดังนั้นผมคิดว่าเราจะชะลอข้อตกลงนี้ไว้ก่อน จนกว่าประเด็นระหว่างเราจะเคลียร์” เขากล่าว

แม้ว่าจะมีการสื่อสารกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่แหล่งข่าวของ Reuters เปิดเผยว่า การพูดคุยระดับสูงที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงอย่างเป็นรูปธรรมยังคงไม่มีความคืบหน้า

การที่ทรัมป์ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดว่ามีการพูดคุยกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง โดยตรงหรือไม่ ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจจะเดินหน้าไปในทิศทางใด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกต้องการความชัดเจนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง

ที่มา : reuters