กระทรวงแรงงานเตรียมดำเนินนโยบายเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้แรงงานไทยมีบุตร
วันที่โพสต์: 15 ตุลาคม 2567 10:56:41 การดู 54 ครั้ง
กระทรวงแรงงานเตรียมดำเนินนโยบายเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้แรงงานไทยมีบุตร โดยการเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจากเดิม 1,000 บาท เป็น 3,000 บาทต่อเดือน และจะขยายระยะเวลาการให้เงินสงเคราะห์นี้ต่อเนื่องจนถึง 7 ปี เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของแรงงานและส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มประชากร ซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้แรงงานภายใต้ระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 โดยต้องการให้พวกเขามีความมั่นคงในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น ปัจจุบัน การสงเคราะห์บุตรของสำนักงานกองทุนประกันสังคมอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2568 มีการเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยให้เพียง 800 บาทต่อเดือน แต่เพื่อตอบสนองต่อภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นและแรงจูงใจในด้านการมีบุตร นายพิพัฒน์จึงมีข้อเสนอที่จะเพิ่มจำนวนเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 3,000 บาทต่อเดือน
แผนการเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อลดภาระของครอบครัวผู้ใช้แรงงานที่มีบุตร เพราะในปัจจุบันแรงงานจำนวนมากต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าเลี้ยงดูบุตรที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าอาหาร การศึกษา และค่ารักษาพยาบาล หากแผนการนี้สำเร็จ จะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวของแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กไทยที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ แนวคิดดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการแก้ปัญหาการลดลงของประชากรในประเทศไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในหลายด้าน การสนับสนุนให้ครอบครัวมีบุตรมากขึ้น จะช่วยให้จำนวนแรงงานในอนาคตไม่ลดลงจนเกินไป รวมถึงช่วยสนับสนุนระบบสวัสดิการต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาภาษีจากประชากรในวัยทำงาน
ทั้งนี้ การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 3,000 บาทต่อเดือนจะต้องได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการกองทุนประกันสังคม (บอร์ด) เพื่อให้มีการดำเนินการในขั้นต่อไป แต่เบื้องต้นแนวคิดดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ใช้แรงงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นการเพิ่มสวัสดิการและสร้างแรงจูงใจให้เกิดการขยายครอบครัวอย่างยั่งยืน
มาตรการนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดภาระทางเศรษฐกิจให้กับครอบครัว และสร้างความมั่นคงให้กับประชากรในระยะยาว