จากรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประจำปี 2025 พบว่าผลิตภาพแรงงานของไทยอยู่ในอันดับที่ 104 ของโลก หรือเป็นอันดับที่ 4 ในภูมิภาคอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย โดยตัวชี้วัดผลิตภาพแรงงานของไทยอยู่ที่ 18.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมงการทำงาน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

ผลิตภาพแรงงานเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการใช้แรงงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยิ่งตัวเลขผลิตภาพแรงงานสูง แสดงถึงความสามารถในการสร้างผลผลิตต่อหน่วยเวลาที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่มีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ย 5% และ 3% ตามลำดับ ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่เพียง 2% ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาในอัตราที่ช้ากว่าประเทศคู่แข่ง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับผลิตภาพแรงงานของไทยมีหลายประการ ปัจจัยแรกคือโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้สัดส่วนแรงงานในวัยทำงานลดลง ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและพลังงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและกฎระเบียบที่อาจซับซ้อน ทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะแรงงานหยุดชะงัก

อีกปัจจัยที่สำคัญคือความล้าหลังของระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงาน แม้ว่าประเทศไทยจะมีแรงงานจำนวนมาก แต่กลับขาดแรงงานที่มีทักษะสูงและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ วิศวกรรม หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ ส่งผลให้หลายบริษัทต้องพึ่งพาแรงงานจากต่างประเทศ หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีแรงงานที่มีทักษะสูงกว่า

นอกจากนี้ ความสามารถในการปรับตัวของแรงงานไทยต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อผลิตภาพแรงงาน แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยจะมีความพยายามนำระบบอัตโนมัติและดิจิทัลมาใช้มากขึ้น แต่แรงงานจำนวนมากยังคงขาดทักษะในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กระบวนการผลิตยังคงพึ่งพาแรงงานมนุษย์มากกว่าที่ควรจะเป็น และทำให้ผลิตภาพแรงงานโดยรวมต่ำลง

แนวทางแก้ไขปัญหาผลิตภาพแรงงานไทยจำเป็นต้องอาศัยการปรับโครงสร้างเชิงลึก รัฐบาลและภาคเอกชนควรร่วมมือกันพัฒนานโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และการฝึกอบรมพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังควรมีการส่งเสริมให้แรงงานสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการสนับสนุนจากรัฐ เพื่อให้สามารถพัฒนาทักษะและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

หากประเทศไทยสามารถยกระดับผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้นได้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในอนาคต อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ที่มา : kasikornresearch