เรือรบสหรัฐฯ "ยูเอสเอส ซาวันนาห์" เยือนกัมพูชา ท่ามกลางความกังวลเรื่องอิทธิพลจีน

วันที่ 16 ธันวาคม 2567 เรือรบ USS Savannah ของกองทัพเรือสหรัฐฯ นำโดยพลเรือเอกซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิก พร้อมลูกเรือกว่า 100 นาย เดินทางถึงท่าเรือสีหนุวิลล์ในอ่าวไทย ประเทศกัมพูชา โดยการเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี และมีกำหนดระยะเวลา 5 วัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคี

เสริมสัมพันธ์ทางทหารและกิจกรรมทางวัฒนธรรม
ในระหว่างการเยือน คณะผู้แทนจากกองทัพเรือสหรัฐฯ จะเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมกัมพูชาและผู้นำท้องถิ่นของจังหวัดสีหนุวิลล์ เพื่อหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหาร รวมถึงสำรวจแนวทางความร่วมมือในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมกีฬากระชับมิตร การแสดงวัฒนธรรม และโครงการทูตเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศ

พลโท มาลี โสจาตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวต้อนรับกองทัพเรือสหรัฐฯ และชื่นชมถึงความสำคัญของการที่เรือยูเอสเอส ซาวันนาห์กลับมายังน่านน้ำของกัมพูชา โดยถือเป็นโอกาสที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ท่ามกลางความวิตกกังวลเรื่องจีน
การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชายังมีความตึงเครียด โดยสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะการที่จีนให้เงินสนับสนุนโครงการปรับปรุงฐานทัพเรือเรียม ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสีหนุวิลล์เพียง 30 กิโลเมตร

แม้กัมพูชาจะยืนยันหลายครั้งว่าฐานทัพเรือดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้งานโดยประเทศใดเป็นการเฉพาะ แต่สหรัฐฯ ยังคงจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกรงว่าฐานทัพแห่งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการเพิ่มอิทธิพลทางทหารในอาเซียน

ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯ ค่อนข้างตึงเครียด โดยเฉพาะหลังจากที่กัมพูชาประกาศยกเลิกการซ้อมรบร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2560 และหันมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเยือนของยูเอสเอส ซาวันนาห์ครั้งนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

การปรากฏตัวของเรือรบสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้สะท้อนถึงความพยายามของวอชิงตันในการสร้างสมดุลอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นความร่วมมือที่ยั่งยืนกับพันธมิตรในภูมิภาค ทั้งนี้ การเยือนกัมพูชาครั้งนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทสำคัญของภูมิภาคในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่มุ่งส่งเสริมเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค