ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงกว่าคาดการณ์ ประกอบกับแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,914.12 จุด ลดลง 234.44 จุด (-0.53%) ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,051.25 จุด ลดลง 32.94 จุด (-0.54%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,902.84 จุด ลดลง 132.05 จุด (-0.66%)

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ดัชนี PPI ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อจากต้นทุนผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบรายปีในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี และเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.6% ขณะที่ดัชนี PPI พื้นฐาน (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) เพิ่มขึ้น 3.4% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์

แรงขายทำกำไรและความกังวลนโยบายเฟด
นักลงทุนในตลาดให้น้ำหนักมากกว่า 98% ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธันวาคม แต่ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการตัดสินใจในการประชุมเดือนมกราคม 2568 หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดบางรายออกมาเตือนให้คณะกรรมการใช้ความระมัดระวัง

ร็อบ ฮาเวิร์ธ จาก U.S. Bank Wealth Management ชี้ว่า นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมเฟด รวมถึงผลกระทบของตัวเลขเงินเฟ้อต่อการกำหนดนโยบาย นอกจากนี้ แรงขายทำกำไรยังเกิดขึ้นหลังดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดในวันก่อนหน้า

หุ้นเทคโนโลยีร่วง หุ้น Warner Bros. พุ่งสวนทาง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง โดย Nvidia ลดลง 1.41% และ Adobe ร่วงถึง 13.69% หลังคาดการณ์รายได้ปี 2568 ต่ำกว่าความคาดหมาย

ในทางกลับกัน หุ้น Warner Bros. Discovery ทะยานขึ้น 15.4% หลังประกาศแผนแยกธุรกิจเคเบิลทีวีที่อ่อนแอออกจากธุรกิจสตรีมมิงและสตูดิโอ

ข้อมูลแรงงานส่งสัญญาณชะลอตัว
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่าจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 17,000 ราย สู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 เดือน

แนวโน้มตลาดในอนาคต
นักวิเคราะห์จาก Stifel คาดว่า ดัชนี S&P500 อาจแตะจุดสูงสุดในครึ่งแรกของปี 2568 จากผลประกอบการบริษัทที่แข็งแกร่ง แต่เตือนว่าตลาดอาจปรับตัวลดลง 10-15% ในช่วงครึ่งหลังของปี หากเฟดยุติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์

ตลาดยังคงต้องจับตาทิศทางนโยบายการเงินและข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนในระยะยาว