การเลือกใช้ MySQLi หรือ PDO ในการพัฒนาเว็บไซต์มีความสำคัญ เนื่องจากทั้งสองตัวเลือกนี้มีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของโปรเจกต์และความต้องการของทีมพัฒนา ซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาในระยะยาว

1 MySQLi (MySQL Improved)

MySQLi เป็นการขยายความสามารถของ MySQL ที่มีการพัฒนาให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ และมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับ MySQL ได้ง่ายและรวดเร็ว ตัวเลือกนี้เหมาะสมกับการพัฒนาเว็บไซต์ที่ใช้ MySQL เป็นฐานข้อมูลหลัก

การใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา: MySQLi รองรับทั้ง procedural และ object-oriented programming ซึ่งทำให้สามารถเลือกวิธีการเขียนโค้ดที่ถนัดได้ หากคุณคุ้นเคยกับการเขียนแบบ procedural หรือไม่จำเป็นต้องใช้ object-oriented programming ก็สามารถใช้ MySQLi ได้อย่างง่ายดาย
การเตรียมคำสั่ง (Prepared Statements): MySQLi รองรับการใช้ prepared statements ซึ่งช่วยในการป้องกัน SQL Injection ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้การทำงานกับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป (เช่น การรับข้อมูลจากฟอร์ม) มีความปลอดภัยมากขึ้น
รองรับเฉพาะ MySQL: หากโปรเจกต์ของคุณมีแค่ฐานข้อมูล MySQL เท่านั้น การใช้ MySQLi จะช่วยให้การพัฒนาง่ายและตรงไปตรงมามากขึ้น เพราะมันถูกออกแบบมาเฉพาะกับ MySQL
การจัดการข้อผิดพลาด: MySQLi สามารถเปิดโหมด error reporting เพื่อแสดงข้อผิดพลาดจากฐานข้อมูล ทำให้สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันที
ข้อดีของ MySQLi:

  • ง่ายในการใช้งานและพัฒนา
  • รองรับการใช้ทั้งแบบ procedural และ object-oriented
  • รองรับการใช้ prepared statements และ parameterized queries
  • ใช้งานได้ดีเมื่อทำงานกับ MySQL

ข้อเสียของ MySQLi:

  • จำกัดแค่ MySQL: ไม่สามารถใช้กับฐานข้อมูลอื่นๆ เช่น PostgreSQL หรือ SQLite ได้
    ถ้าคุณต้องการย้ายฐานข้อมูลในอนาคต อาจจะต้องมีการปรับโค้ดมาก

2 PDO (PHP Data Objects)

PDO เป็นวิธีการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่รองรับหลายประเภท เช่น MySQL, PostgreSQL, SQLite, Oracle, SQL Server และอื่นๆ ซึ่งทำให้ PDO เหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่อาจจะต้องรองรับฐานข้อมูลหลายประเภทในอนาคต

รองรับหลายฐานข้อมูล: ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดของ PDO คือ การรองรับหลายฐานข้อมูล หากคุณคาดว่าจะใช้ฐานข้อมูลหลายประเภทในโปรเจกต์เดียว หรือถ้าคุณต้องการความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนฐานข้อมูลในอนาคต PDO คือทางเลือกที่ดีที่สุด
Object-Oriented Programming (OOP): PDO รองรับการใช้งานในลักษณะ object-oriented เท่านั้น ซึ่งจะทำให้โค้ดดูสะอาดและมีโครงสร้างที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะถ้าคุณพัฒนาเว็บไซต์ในทีมขนาดใหญ่หรือเว็บไซต์ที่ต้องการดูแลรักษาง่าย
Prepared Statements: PDO ก็รองรับการใช้ prepared statements เพื่อป้องกัน SQL Injection ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบฐานข้อมูล
การจัดการข้อผิดพลาด: PDO ใช้ exception handling (การจัดการข้อผิดพลาดด้วย exception) ซึ่งช่วยในการจัดการข้อผิดพลาดได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยข้อผิดพลาดจะได้รับการจัดการในรูปแบบของ exception และสามารถจับข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้นด้วย try-catch block
ยืดหยุ่นในการพัฒนา: เนื่องจาก PDO รองรับหลายฐานข้อมูล มันทำให้โปรเจกต์ของคุณมีความยืดหยุ่นและสามารถย้ายไปใช้ฐานข้อมูลประเภทอื่นได้ง่าย โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดมากนัก

ข้อดีของ PDO:

  1. รองรับการใช้งานกับหลายฐานข้อมูล
  2. ใช้ object-oriented programming ซึ่งช่วยให้โค้ดมีความสะอาดและเข้าใจง่าย
  3. รองรับ prepared statements และการป้องกัน SQL Injection
  4. ใช้ exception handling สำหรับการจัดการข้อผิดพลาด ซึ่งทำให้ตรวจจับและจัดการข้อผิดพลาดได้ง่าย

ข้อเสียของ PDO:

ไม่รองรับแบบ procedural: ถ้าคุณคุ้นเคยกับการเขียนโค้ดในแบบ procedural PDO อาจทำให้ต้องปรับตัวในบางจุด
อาจซับซ้อนกว่า MySQLi สำหรับผู้ที่เริ่มต้นหรือโปรเจกต์ขนาดเล็ก

สรุปการเลือกใช้


ใช้ MySQLi:

เมื่อคุณกำลังพัฒนาเว็บไซต์ที่ใช้ MySQL เป็นฐานข้อมูลหลัก
หากโปรเจกต์ของคุณ ไม่ต้องการรองรับหลายฐานข้อมูล และต้องการวิธีการที่ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
หากคุณ ต้องการใช้ procedural programming หรือไม่ต้องการใช้ OOP

ใช้ PDO:

เมื่อคุณต้องการความ ยืดหยุ่นสูง ในการรองรับหลายฐานข้อมูล เช่น MySQL, PostgreSQL, SQLite เป็นต้น
หากโปรเจกต์ของคุณอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลในอนาคต และต้องการวิธีการที่ สามารถปรับตัวได้ง่าย
หากคุณต้องการใช้ object-oriented programming และ exception handling ในการจัดการข้อผิดพลาด
แนะนำในกรณีต่างๆ:
หากโปรเจกต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็กและใช้ MySQL เป็นฐานข้อมูลหลักอย่างเดียว MySQLi อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากมันใช้งานง่ายและเหมาะสมสำหรับการพัฒนาเร็ว
หากคุณกำลังสร้าง โปรเจกต์ที่ต้องรองรับหลายฐานข้อมูล หรือ ต้องการความยืดหยุ่นในการพัฒนา ในระยะยาว PDO จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
โดยสรุป, PDO จะเหมาะสมกว่าในกรณีที่โปรเจกต์ต้องการรองรับหลายฐานข้อมูล และต้องการความยืดหยุ่นในระยะยาว ขณะที่ MySQLi จะดีสำหรับโปรเจกต์ที่จำกัดอยู่กับ MySQL และต้องการการพัฒนาอย่างรวดเร็ว