ในยุคที่การแข่งขันด้านการขนส่งเข้มข้นไม่แพ้สมรภูมิรบ ทั้งการขนส่งขนาดเล็กจนถึงระบบโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผู้ให้บริการต่างต้องงัดกลยุทธ์ใหม่ ทั้งลดต้นทุน พัฒนานวัตกรรม และเสริมศักยภาพการให้บริการ ท่ามกลางการแข่งขันจากทั้งรายใหญ่ที่มีเครือข่ายครอบคลุม ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่พร้อมบุกตลาดเฉพาะทาง

ล่าสุด กลุ่มบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. และกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำอย่าง SCG ตัดสินใจถอยทัพจากธุรกิจขนส่งสินค้า หันมาโฟกัสในกลุ่มธุรกิจหลักที่สร้างรายได้และความยั่งยืนมากกว่า โดยมุ่งลดความซ้ำซ้อนด้านการลงทุนและเน้นการสร้าง Synergy ภายในกลุ่มธุรกิจเดิม

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เผยว่า กลุ่ม ปตท. ได้ยุติบทบาทในธุรกิจขนส่งผลไม้ทางราง และเลิกดำเนินธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจพลังงาน พร้อมมุ่งเน้นการขยายในส่วนที่สอดคล้องกับธุรกิจหลัก เช่น Oil & Gas เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มศักยภาพการทำกำไรให้กลุ่ม ปตท.

อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนหน้านี้ กลุ่ม ปตท. ได้มีความเคลื่อนไหวในภาคธุรกิจโลจิสติกส์ โดยเมื่อปี 2565 บริษัท สยาม แมนเนจเมนท์ โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) ได้จัดตั้ง บริษัท โกลบอล มัลติโมดัล โลจิสติกส์ จำกัด (GML) ด้วยทุนจดทะเบียน 230 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร ทั้งการขนส่งทางราง ทางบก ทางเรือ และทางอากาศ รวมถึงการบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็น ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์

GML ยังได้ร่วมมือกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อขยายตลาดสินค้าเกษตรสู่ต่างประเทศผ่านระบบราง โดยมีเป้าหมายในการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ

ด้าน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ก็ได้ประกาศยุติธุรกิจ SCG EXPRESS หรือบริการแมวดำ ที่ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนครบวงจร หลังประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่องหลายปี แม้จะมีความพยายามปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเติบโตของ E-Commerce

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยว่า SCG EXPRESS จดทะเบียนในปี 2559 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,463 ล้านบาท แต่ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง เช่น ปี 2566 ขาดทุน 184 ล้านบาท และขาดทุนต่อเนื่องย้อนหลังไปอีกหลายปี ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจปิดกิจการดังกล่าว พร้อมทยอยขายสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร เพื่อคืนความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในระยะยาว

แนวโน้มนี้สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า ยุคแห่ง “ทุกธุรกิจต้องปรับตัว” มาถึงแล้ว องค์กรขนาดใหญ่แม้มีเงินทุนมหาศาล ก็ยังต้องตัดสินใจยุติธุรกิจที่ไม่ตอบโจทย์ด้านผลตอบแทนและความยั่งยืน เพื่อเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ Core Business และ Synergy ภายในองค์กรเป็นหลัก

ในขณะที่สนามโลจิสติกส์ยังคงดุเดือด บริษัทขนส่งรายอื่น ๆ ต้องจับตาท่าทีและกลยุทธ์การปรับตัวต่อไปอย่างใกล้ชิด เพราะในเกมธุรกิจ ไม่มีใครอยู่รอดได้หากไม่ปรับตัวให้ทันเวลา