เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. ได้เปิดให้ผู้ประกอบการยื่นคำขอรับใบอนุญาตการใช้คลื่นความถี่ในกลุ่มโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล โดยครอบคลุมคลื่นย่าน 850 MHz, 1500 MHz, 2100 MHz และ 2300 MHz ซึ่งมีผู้ยื่นคำขอทั้งสิ้น 2 ราย ได้แก่ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด โดยมีการยื่นคำขอที่หอประชุมสำนักงาน กสทช. ชั้น 1 อาคารหอประชุมสายลม

คลื่นความถี่ที่นำออกประมูลในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มความถี่ย่านต่ำ (Low Band) ย่าน 850 MHz, กลุ่มความถี่ย่านกลาง (Mid Band) ซึ่งใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ 2100 MHz และ 2300 MHz และกลุ่ม Mid Band ที่ยังไม่ถูกใช้งาน คือ 1500 MHz

รายละเอียดของคลื่นแต่ละย่านมีดังนี้ ย่าน 850 MHz ครอบคลุมช่วง 824 – 834 MHz คู่กับ 869 – 879 MHz ตั้งราคาขั้นต่ำไว้ที่ 7,738.23 ล้านบาทต่อชุด มีจำนวน 2 ชุด ชุดละ 2 x 5 MHz ส่วนย่าน 2100 MHz ช่วง 1965 – 1980 MHz คู่กับ 2155 – 2170 MHz กำหนดราคาขั้นต่ำที่ 4,500 ล้านบาทต่อชุด จำนวน 3 ชุด ชุดละ 2 x 5 MHz และย่าน 2300 MHz ช่วง 2300 – 2370 MHz ตั้งราคาขั้นต่ำ 2,596.15 ล้านบาทต่อชุด มี 7 ชุด ชุดละ 10 MHz ขณะที่ย่าน 1500 MHz ช่วง 1452 – 1507 MHz มีราคาขั้นต่ำ 1,057.49 ล้านบาทต่อชุด รวม 11 ชุด ชุดละ 5 MHz

หลังการรับคำขอ สำนักงาน กสทช. จะตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครในช่วงวันที่ 30 พฤษภาคม ถึง 5 มิถุนายน 2568 ก่อนเสนอผลให้คณะกรรมการ กสทช. พิจารณาภายในช่วงวันที่ 6-13 มิถุนายน โดยเปิดโอกาสให้อุทธรณ์ผลในวันที่ 16-18 มิถุนายน และประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติในวันที่ 19 มิถุนายน 2568 จากนั้นจะมีการจัดประมูลจำลองในวันที่ 23 มิถุนายน ก่อนดำเนินการประมูลจริงในวันที่ 29 มิถุนายน 2568

ในวันยื่นเอกสาร บริษัททรู มูฟ เอช ได้ส่งทีมบริหารนำโดยนายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทรู เข้ายื่นคำขอเข้าร่วมการประมูลตั้งแต่เวลา 11.09 น. โดยระบุว่าการตัดสินใจเข้าร่วมครั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริษัท ซึ่งมีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งด้านการลงทุนและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค โดยได้มีการว่าจ้างที่ปรึกษาภายนอกมาศึกษาความคุ้มค่าในแต่ละย่านความถี่ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมสื่อสารไทย

ต่อมาเวลา 14.14 น. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส นำโดยนายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ ได้เข้ายื่นคำขอรับใบอนุญาตเช่นกัน โดยมีกรรมการ กสทช. เป็นผู้รับเอกสาร

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน โดยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 สภาผู้บริโภคและองค์กรเครือข่ายได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนประกาศการประมูลของ กสทช. โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมและเปิดทางให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาด รวมถึงมีการกำกับดูแลคุณภาพบริการหลังการประมูล เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับบริการในราคาที่เหมาะสม

ในด้านมุมมองจากนักวิชาการ นายพรเทพ เบญญาอภิกุล จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า การที่ กสทช. เปิดประมูลล่วงหน้าทั้งที่บางคลื่น เช่น 2100 MHz ยังไม่หมดอายุการใช้งานเดิม อาจก่อให้เกิดความกังวลว่าคลื่นจะกระจุกตัวอยู่กับผู้ให้บริการรายใหญ่เพียง 2 ราย โดยยังไม่มีมาตรการส่งเสริมการแข่งขันที่ชัดเจน และเสนอว่าควรคืนชีพระบบ MVNO เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถให้บริการผ่านโครงข่ายที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภคโดยไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอง

แม้ว่าตลาดโทรคมนาคมในประเทศไทยจะเหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย แต่หากสามารถสร้างระบบสนับสนุนให้มีผู้ให้บริการรายย่อยเข้ามาแข่งขันได้ ก็อาจทำให้ตลาดกลับมามีความหลากหลายและแข่งขันกันเพื่อคุณภาพและราคาที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค