วันที่ 30 เมษายน 2568 (ตามเวลาประเทศไทย) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานถึงภาวะตลาดน้ำมันโลกที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นการร่วงลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีครึ่ง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่วงหน้าลดลง 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.76% ปิดที่ 63.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ล่วงหน้าลดลง 2.21 ดอลลาร์ หรือ 3.66% ปิดที่ 58.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันทั้งสองตัวลดลงมากกว่า 15% และ 18% ตามลำดับในเดือนเมษายน 2568

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง

การลดลงของราคาน้ำมันในครั้งนี้สามารถเชื่อมโยงได้กับการตัดสินใจของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มการผลิตน้ำมันและขยายส่วนแบ่งตลาด แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียพยายามพยุงตลาดน้ำมันด้วยการลดอุปทานเพื่อลดแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังพยายามเพิ่มปริมาณการผลิต ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลในตลาดว่าอาจเกิดสงครามการเพิ่มการผลิตขึ้นอีกครั้ง

ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์จาก Price Futures Group กล่าวว่า "ซาอุดีอาระเบียกำลังพยายามส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มการผลิตน้ำมันเพื่อยึดส่วนแบ่งตลาดกลับมา เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปอย่างไร"

ความกังวลเรื่องสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง คือความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีน เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดสงครามการค้าระหว่างสองประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก

สงครามการค้าและการเพิ่มขึ้นของภาษีมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้

ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดจากสหรัฐฯ พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยได้รับแรงกดดันจากการนำเข้าสินค้าจำนวนมากของธุรกิจที่ต้องการหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน การสำรวจของรอยเตอร์ชี้ให้เห็นว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์ทำให้มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

การลดลงของปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ

แม้ราคาน้ำมันจะร่วงลง แต่ยังมีปัจจัยบางประการที่ช่วยจำกัดการลดลงของราคาน้ำมัน โดยเฉพาะข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล เหลือ 440.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 เมษายน ซึ่งต่างจากที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 429,000 บาร์เรล ส่งผลให้การลดลงของราคาน้ำมันบางส่วนได้รับการชะลอจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการส่งออกและการกลั่นน้ำมัน

โอเปกพลัสเตรียมเพิ่มการผลิตในเดือนมิถุนายน

ข้อมูลจากแหล่งข่าวเผยว่า กลุ่มโอเปกพลัสหลายรายอาจจะเสนอให้เพิ่มการผลิตน้ำมันเป็นเดือนที่สองติดต่อกันในเดือนมิถุนายนนี้ โดยกลุ่มจะประชุมกันในวันที่ 5 พฤษภาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการผลิต ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้กลุ่มโอเปกพลัสต้องพยายามหาทางรักษาความสงบภายในกลุ่มและขยายปริมาณการผลิตเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

ราคาน้ำมันดิบในเดือนเมษายนร่วงลงอย่างหนักหลังจากซาอุดีอาระเบียส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มการผลิตและขยายส่วนแบ่งตลาด ขณะเดียวกัน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย, และสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดการผลิตน้ำมันต่างๆ ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวโน้มราคาในอนาคต