ค่าเงินบาทในวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 34.01 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดเมื่อวานที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตลาดคาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.90-34.10 บาทต่อดอลลาร์ในวันนี้

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือนกุมภาพันธ์ขยายตัว 0.9% ขณะที่ตลาดคาดว่าจะหดตัวถึง -1.1% นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมที่จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ในวันที่ 2 เมษายนนี้ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงผู้ผลิตในยุโรปและเอเชีย

การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะเดียวกัน การที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ก็ส่งผลกระทบต่อค่าเงินในตลาดอื่นๆ รวมถึงเงินบาท โดยทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในระยะสั้น

เมื่อมองในแง่ของทิศทางค่าเงินบาทในระยะต่อไป การอ่อนค่าของเงินบาทอาจจะยังคงมีต่อเนื่อง หากการแข็งค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาด อย่างไรก็ตาม เงินบาทอาจจะได้รับแรงช่วยจากการขายดอลลาร์ในตลาดจากผู้เล่นในตลาดอีกครั้ง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น

จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) หากเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ และไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้อย่างชัดเจน ก็อาจหมายถึงการเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงนี้ แต่ถ้าหากเงินบาทมีการทะลุผ่านแนวต้านนี้ขึ้นไป ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงของการอ่อนค่าที่ชัดเจนมากขึ้น

ในขณะที่ตลาดการเงินในไทยยังคงมีแรงกดดันจากการขายสินทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ การที่นักวิเคราะห์ต่างชาติปรับมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยก็อาจช่วยลดแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ลงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง นักลงทุนต่างชาติอาจมองเห็นโอกาสในการซื้อหุ้นไทยในราคาที่ถูกลง

ในส่วนของตลาดการเงินทั่วโลก ตลาดยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปและเอเชีย การที่หุ้นในกลุ่มยานยนต์และเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างหนักจากการประกาศดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีหุ้น Nasdaq และ S&P500 ตกลงอย่างมาก ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเองก็ได้รับผลกระทบจากความกังวลนี้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ตลาดจะรอข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากสหรัฐฯ ในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า โดยเฉพาะข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่จะช่วยประเมินแนวโน้มการจ้างงานในสหรัฐฯ และทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟด ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต

ในส่วนของตลาดยุโรปและเอเชีย การแถลงจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงนี้ โดยเฉพาะจากเจ้าหน้าที่ ECB ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ภาษีจากสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็ยังคงต้องเฝ้าระวังการเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า

โดยรวมแล้ว ตลาดการเงินในปัจจุบันยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์