สหรัฐฯ เตือนฮูตีให้หยุดโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดง ย้ำพร้อมใช้กำลังตอบโต้หากยังคงเดินหน้าปฏิบัติการ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงเตือนกลุ่มฮูตีในเยเมนให้ยุติการโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดงโดยทันที มิฉะนั้น สหรัฐฯ จะใช้มาตรการทางทหารอย่างเด็ดขาด

ทรัมป์กล่าวว่า “การโจมตีเหล่านี้จะไม่ได้รับการยอมรับ เราจะใช้กำลังเต็มรูปแบบจนกว่าสถานการณ์จะยุติ” พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเรือสินค้าสากลและผลประโยชน์ของชาติ

ขณะที่อิหร่าน ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮูตี ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน อับบาส อารักชี ระบุว่าสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์มาบงการนโยบายต่างประเทศของอิหร่าน พร้อมเรียกร้องให้วอชิงตันยุติการสนับสนุนอิสราเอล และหยุดการใช้ปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาค

กลุ่มฮูตีอ้างว่าการโจมตีเรือในทะเลแดงเป็นการแสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาส อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเป้าหมายที่ถูกโจมตีหลายลำไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอลหรือชาติตะวันตก

นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 กลุ่มฮูตีได้ใช้ขีปนาวุธ โดรน และเรือเร็วโจมตีเรือพาณิชย์ที่แล่นผ่านทะเลแดงและอ่าวเอเดน ส่งผลให้เรือหลายลำได้รับความเสียหาย บางลำถูกจม และมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 4 ราย ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งต้องเปลี่ยนเส้นทางจากคลองสุเอซไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปของแอฟริกา ซึ่งทำให้ต้นทุนการขนส่งพุ่งสูงขึ้น

แม้ว่าสหรัฐฯ และอังกฤษจะเปิดฉากโจมตีทางอากาศและทางทะเลต่อฐานที่มั่นของฮูตีหลายต่อหลายครั้ง แต่กลุ่มติดอาวุธนี้ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีเรือพาณิชย์ต่อไป นอกจากนี้ อิสราเอลยังได้ใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเยเมนเพื่อตอบโต้การยิงขีปนาวุธและโดรนจากฮูตีมากกว่า 400 ลูก

เพื่อลดความตึงเครียด รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ ได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ เกี่ยวกับมาตรการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง โดยเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ฮูตีโจมตีเรือพาณิชย์และเรือรบต่อไป

ข้อมูลจากสภาคองเกรสสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงตุลาคม 2567 กลุ่มฮูตีได้ก่อเหตุโจมตีในทะเลแดงไปแล้วกว่า 190 ครั้ง

ทรัมป์ยังได้กล่าวเตือนอิหร่านให้ยุติการสนับสนุนกลุ่มฮูตี พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ จะถือเตหะรานเป็นผู้รับผิดชอบ หากกลุ่มติดอาวุธในเยเมนยังคงสร้างภัยคุกคามในภูมิภาคต่อไป

ที่มา BBC