ศาลแขวงสหรัฐในเขตแคลิฟอร์เนียเหนือได้ปฏิเสธคำร้องของอีลอน มัสก์ที่ต้องการขัดขวางแผนการเปลี่ยนแปลงของ OpenAI จากองค์กรไม่แสวงหากำไรไปเป็นบริษัทที่แสวงหากำไร ตามที่ได้รายงานจาก Bloomberg เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้พิพากษา อีวอนน์ กอนซาเลซ โรเจอร์ส ได้ตัดสินว่า มัสก์ไม่สามารถนำเสนอหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องออกคำสั่งห้ามเบื้องต้นในคดีนี้ แต่ผู้พิพากษาก็กล่าวว่า ศาลยังคงเตรียมที่จะเร่งรัดการพิจารณาคดีในประเด็นที่เกี่ยวกับความถูกต้องของการเปลี่ยนแปลงที่ OpenAI กำลังดำเนินการ โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจขัดต่อกฎหมายหรือไม่

การเปลี่ยนแปลงของ OpenAI ที่มัสก์กำลังต่อต้านเกิดจากความพยายามที่ OpenAI จะเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานจากองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ มาเป็นบริษัทที่แสวงหากำไรตามรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้มีการโต้แย้งว่าอาจทำให้บริษัทขาดความโปร่งใสในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเคยมีเป้าหมายที่จะทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม นอกจากนี้ มัสก์ยังได้กล่าวหาว่า OpenAI กำลังหันเหจากพันธกิจเดิมที่ตั้งไว้ และยืนยันว่าควรที่จะทำให้ AI อยู่ภายใต้การควบคุมของสาธารณะ

ผู้พิพากษาโรเจอร์สยังชี้แจงว่ามีความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้หากเงินทุนของสาธารณะถูกใช้ในการเปลี่ยนแปลงขององค์กรไม่แสวงหากำไรให้กลายเป็นบริษัทที่มุ่งหวังผลกำไร เนื่องจากการดำเนินการแบบนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่ชอบมาพากลในแง่ของการใช้เงินทุนที่ได้จากผู้สนับสนุนและภาครัฐในทางที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์เดิมที่มีการตั้งไว้ในการพัฒนาเทคโนโลยี

การต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างมัสก์และ OpenAI ไม่ได้มีแค่ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจเท่านั้น เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มัสก์ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อกิจการของ OpenAI เป็นมูลค่า 97.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการปฏิเสธจากคณะกรรมการบริหารของ OpenAI โดยเอกฉันท์ ซึ่งถือเป็นการบ่งชี้ว่า OpenAI ยังไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานอย่างที่มัสก์เสนอมา

การปฏิเสธคำร้องของมัสก์ในครั้งนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของข้อพิพาทระหว่างเขากับ OpenAI เนื่องจากมัสก์ยังคงมีความตั้งใจที่จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปในประเด็นที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัท และการใช้เงินทุนของสาธารณะในลักษณะที่เขามองว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวทางการพัฒนา AI ในอนาคต โดยเฉพาะในแง่ของความโปร่งใสและการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสาธารณะ

แม้ว่า OpenAI จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปเป็นบริษัทที่แสวงหากำไรตามแผนที่ตั้งไว้ แต่การต่อสู้ทางกฎหมายในครั้งนี้ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่ออนาคตของเทคโนโลยี AI และความจำเป็นที่ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมอย่างรัดกุมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมและประชาชนจากการใช้งานเทคโนโลยีที่อาจมีอำนาจเหนือการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน