วันนี้ (2 มีนาคม 2568) เวลา 08.00 น. นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าคนไทยมีศักยภาพสูงมากและพร้อมพัฒนา แต่ต้องได้รับโอกาสที่เหมาะสม รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของประชาชน โดยเฉพาะในสาขาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในระดับโลก ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมให้ทันต่อการแข่งขัน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานไทยในการรองรับอุตสาหกรรมอนาคต

รัฐบาลกำลังเร่งเจรจากับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Google, TikTok และ NVIDIA ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยในปี 2567 การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมของภูมิภาค รัฐบาลต้องดำเนินการต่อเนื่องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และส่งเสริมระบบการศึกษาที่รองรับตลาดแรงงานยุคใหม่

รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและเพิ่มศักยภาพในการส่งออก เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ที่เชื่อมฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน การพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูง และการขยายท่าเรือน้ำลึก เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของสินค้าส่งออกของไทยโดยเน้นที่คุณภาพและมาตรฐานระดับสากล นอกจากนี้ การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการค้าระดับภูมิภาคได้อย่างเต็มรูปแบบ

ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย นายกรัฐมนตรีเน้นว่าประเทศไทยมีเกษตรกรกว่า 10 ล้านคน และพื้นที่เกษตรกรรมครอบคลุมกว่า 47% ของพื้นที่ประเทศ แต่ภาคเกษตรกลับมีส่วนแบ่ง GDP เพียง 9% เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลของโครงสร้างเศรษฐกิจ เกษตรกรไทยทำงานหนัก แต่ได้รับผลตอบแทนต่ำเมื่อเทียบกับแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ รัฐบาลจึงมีแนวทางในการพัฒนาภาคเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการวิจัยและนวัตกรรม อาทิ เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ที่ช่วยให้เกษตรกรวิเคราะห์สภาพดินและพืชผลได้อย่างแม่นยำเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศไทยต้องเร่งพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรให้ทัดเทียมกับตลาดโลก เช่น การปรับปรุงระบบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร และส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลไม้ไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลกอย่างทุเรียน มังคุด และมะม่วง ควรได้รับการพัฒนาผ่านการวิจัยพันธุ์พืชและเทคโนโลยีการแปรรูป เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้นและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นคง รัฐบาลยังมีเป้าหมายที่จะสร้าง "แบรนด์ผลไม้ไทย" ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล คล้ายกับที่ฝรั่งเศสมีไวน์คุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก

ในด้าน Soft Power รัฐบาลมุ่งผลักดันอาหารไทยให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการส่งเสริมเศรษฐกิจและการทูตระหว่างประเทศ โดยร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ใช้วัตถุดิบจากไทยจะได้รับการสนับสนุนและการรับรองคุณภาพผ่านโครงการ Thai SELECT ซึ่งเป็นการต่อยอดแนวคิด “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ให้มีมาตรฐานชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและนวัตกรรมด้านอาหาร (Food Innovation) จะช่วยให้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้อย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ยังมีการผลักดันให้วัตถุดิบไทย เช่น ข้าวหอมมะลิ น้ำปลา และสมุนไพรไทย กลายเป็นสินค้าระดับพรีเมียมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเวทีโลก

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลจะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม พร้อมขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ย้ำว่าปีนี้เป็นปีแห่งโอกาส และรัฐบาลจะไม่หยุดเดินหน้าเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง รายการ “โอกาสไทยกับนายกฯ” จะดำเนินต่อไปในตอนถัดไป โดยมุ่งเน้นให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า