การใช้ขีปนาวุธที่ผลิตในเกาหลีเหนือโดยกองทัพรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาความร่วมมือทางทหารเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 จำนวนขีปนาวุธที่เชื่อว่าผลิตจากเกาหลีเหนือที่ถูกยิงจากรัสเซียได้เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10 เท่าจากช่วงครึ่งปีแรก ตามการวิเคราะห์ของ The Yomiuri Shimbun

สนธิสัญญาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครบวงจร (Comprehensive Strategic Partnership) ซึ่งลงนามระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือในเดือนมิถุนายน 2024 กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรณีฉุกเฉิน โดยการลงนามในครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมานาน รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทางทหารและการฝึกซ้อมร่วมกัน

จากข้อมูลที่ได้รับจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) สถาบันวิจัยด้านกลยุทธ์ในสหรัฐอเมริกา ได้รวบรวมข้อมูลการยิงขีปนาวุธของรัสเซียที่มาจากแหล่งข่าวต่างๆ เช่น กองทัพยูเครน พบว่าในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ปี 2024 รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือถึง 74 ลูก เพิ่มจากช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนที่มีการยิงขีปนาวุธดังกล่าวเพียง 8 ลูกเท่านั้น

ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธ KN-23 ที่ผลิตในเกาหลีเหนือถึง 24 ลูกในแต่ละเดือน ซึ่งการยิงขีปนาวุธเหล่านี้ทำให้สัดส่วนของขีปนาวุธที่มาจากเกาหลีเหนือเพิ่มขึ้นจาก 0.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 เป็น 6.7% ในช่วงครึ่งหลัง. ขีปนาวุธ KN-23 เป็นขีปนาวุธลูกย่อยพิสัยใกล้ที่มีระยะยิงประมาณ 900 กิโลเมตร และสามารถบินในเส้นทางที่ไม่สม่ำเสมอในระดับต่ำ ซึ่งทำให้มันยากต่อการสกัดกั้นจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ.

ขีปนาวุธ KN-23 ถูกพัฒนาจากเทคโนโลยีของขีปนาวุธ Iskander ของรัสเซีย ซึ่งถูกใช้ในการโจมตีทางทหารในหลายสมรภูมิ การพัฒนา KN-23 โดยเกาหลีเหนือถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซียโดยตรง และการใช้งานขีปนาวุธเหล่านี้ในสงครามกับยูเครนเป็นการแสดงถึงความร่วมมือทางทหารที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ

การใช้ขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือในสงครามยูเครน ถือเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางการทหารที่ยากลำบากของรัสเซียในยูเครน โดยขีปนาวุธ KN-23 ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การโจมตีในระยะใกล้และมีการควบคุมเส้นทางการบินที่ยากต่อการตรวจจับ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพรัสเซียในการโจมตีเป้าหมายที่มีความสำคัญ

นักวิเคราะห์เชื่อว่า รัสเซียอาจจะเริ่มใช้ขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มที่หลังจากที่ลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว และมีการเพิ่มความพึ่งพิงในเทคโนโลยีขีปนาวุธจากเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง การที่รัสเซียหันมาใช้อาวุธจากเกาหลีเหนืออย่างเต็มรูปแบบสะท้อนให้เห็นถึงการขยายความร่วมมือทางทหารและการสนับสนุนจากเกาหลีเหนืออย่างมั่นคง

การเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ ด้วยการลงนามในสนธิสัญญานี้มีผลต่อสถานการณ์การป้องกันและการทหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและยุโรป โดยการเพิ่มขึ้นของขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือในสงครามยูเครนอาจทำให้เกิดการตอบโต้จากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจากยูเครนและประเทศใน NATO ที่อาจพิจารณาความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามทางการทหาร

ชินจิ ฮิโยโดะ, นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการป้องกันแห่งชาติของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น กล่าวว่า "รัสเซียเริ่มใช้ขีปนาวุธจากเกาหลีเหนืออย่างเต็มรูปแบบหลังจากที่มีการลงนามในสนธิสัญญาทวิภาคี และมอสโกจะยังคงเสริมสร้างการพึ่งพิงจากเปียงยาง"

แม้การใช้งานขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัสเซียในการขยายอำนาจทางทหาร แต่ก็สร้างความวิตกกังวลในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในประเทศยูเครนและประเทศสมาชิก NATO ที่ยังคงคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของรัสเซียอย่างใกล้ชิด

ที่มา : asianews