สงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าหลักออกมาตอบโต้ โดยเฉพาะจีนที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ อาทิ สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำคัญ

ขณะเดียวกัน ไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐถึง 10% หลังจากที่ไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลไทยเตรียมหารือแนวทางรับมือกับมาตรการดังกล่าว

กกร. ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจไทย

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้จัดการประชุมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อหารือสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การที่จีนอาจเบนเข็มส่งออกสินค้ามายังตลาดอื่นรวมถึงไทยมากขึ้น หลังจากที่ถูกสหรัฐกีดกัน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. และประธานการประชุม กกร. เปิดเผยว่า สินค้าไทย 23 กลุ่มอุตสาหกรรมกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง และสิ่งทอ หากไม่มีมาตรการรับมือที่เหมาะสม อาจกระทบเพิ่มขึ้นถึง 30 กลุ่มอุตสาหกรรมภายในปีนี้

สินค้าจีนทะลักเข้าไทย ความท้าทายใหม่ของภาคธุรกิจ

รายงานระบุว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การส่งออกไปยังสหรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำเข้าสินค้าจากจีนที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น

โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม เหล็ก และเครื่องสำอาง ที่อาจต้องเผชิญกับภาวะสินค้าจีนล้นตลาด ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจในประเทศต้องเร่งปรับตัว

มาตรการรับมือของไทย

ที่ประชุม กกร. ได้เสนอ 6 แนวทางเพื่อเตรียมรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ได้แก่:

  1. เจรจากับสหรัฐและอาเซียนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบ
  2. สนับสนุนภาคเอกชนผ่านมาตรการด้านกฎหมายและกฎระเบียบการค้า
  3. ปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย
  4. เร่งใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาดและควบคุมการนำเข้า
  5. ควบคุมการตั้งโรงงานใหม่ในเขตอุตสาหกรรมและเสริมสร้างมาตรการป้องกันสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
  6. ส่งเสริมสินค้าไทยผ่านโครงการ Made in Thailand (MIT) และโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ

ข้อเสนอให้รัฐบาลไทยเร่งเจรจาสหรัฐและจีน

นายเกรียงไกรเน้นย้ำว่า ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเชิงรุก โดยการจัดตั้ง "วอร์รูม" ระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อประสานงานและติดตามผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้รัฐบาลจ้างล็อบบี้ยิสต์มืออาชีพเพื่อช่วยต่อรองกับสหรัฐ ลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเดินทางไปจีนเพื่อเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งภาคเอกชนหวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ พร้อมกับการส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างไทยและจีนในรูปแบบที่ไม่กระทบความสัมพันธ์กับสหรัฐ

รัฐบาลตั้งทีมติดตามสถานการณ์

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเน้นมาตรการภาษีและการควบคุมการนำเข้าสินค้า เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทย

“สงครามการค้ารอบใหม่นี้อาจเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงสำหรับไทย หากเรามีการบริหารจัดการที่ดี ไทยสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการขยายตลาดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ” นายจุลพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย