เงินบาทแข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง หลังข่าวการเมืองสหรัฐฯ

กรุงเทพฯ (25 มกราคม 2568) – "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" รายงานว่า ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นจากระดับ 34.46 บาทต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2568 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 33.61 บาทต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2568 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาและทิศทางของราคาทองคำในตลาดโลก

การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยังไม่ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าอย่างทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เผชิญแรงขายจากนักลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะทำให้เงินเยนแข็งค่า และช่วยดันเงินบาทให้แข็งค่าไปตามกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงสะท้อนความต้องการของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงการปรับตัวของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเห็นให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระหว่างการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เพิ่งจัดขึ้น

จากข้อมูลที่ปรากฏ เงินบาทในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในช่วงระหว่างวันที่ 27-31 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทจะมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.30-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามทั้งในด้านนโยบายเศรษฐกิจจากประธานาธิบดีทรัมป์ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญจากสหรัฐฯ เช่น ยอดขายบ้านใหม่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567

ในด้านการลงทุนต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2568 นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไทย 797.4 ล้านบาท แต่ได้ซื้อสุทธิตลาดพันธบัตรไทยถึง 9,064.3 ล้านบาท โดยมีการซื้อสุทธิตลาดพันธบัตรสูงถึง 9,071.8 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงเฝ้าติดตามปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทในสัปดาห์ต่อไป เช่น การประชุมเฟดในวันที่ 28-29 มกราคม และการประชุม ECB ในวันที่ 30 มกราคม ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์นี้จะมีผลสำคัญต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในตลาดโลก

ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินแนะนำให้ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ และยุโรปอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางของค่าเงินบาทในระยะถัดไป