ยอดส่งออกสินค้าไทยในเดือนพฤศจิกายน 2567 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 27 ธันวาคม 2567 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงถึงสถานการณ์การส่งออกสินค้าไทยในเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 25,608.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นการเติบโตติดต่อกันถึง 5 เดือน โดยมูลค่าส่งออกในเดือนพฤศจิกายนคิดเป็นเงินไทยกว่า 849,069 ล้านบาท

ตลอด 11 เดือนแรกของปี 2567 (ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน) ยอดส่งออกสินค้าทั้งหมดอยู่ที่ 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นมูลค่า 9,695,455 ล้านบาท การเติบโตนี้เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ที่เติบโตถึง 5.7% สินค้าหลักในกลุ่มนี้ เช่น ยางพารา ไก่สดและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง มีการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มสินค้าบางประเภทที่มียอดส่งออกลดลง เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และน้ำตาลทราย ซึ่งส่งผลต่อยอดส่งออกทั้งหมดของประเทศให้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในส่วนของสินค้าภาคอุตสาหกรรม การส่งออกในกลุ่มนี้มีการเติบโตที่ดี โดยมียอดส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 9.5% สินค้าหลักที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล อัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำ และเคมีภัณฑ์ ในขณะที่สินค้ากลุ่มอื่น ๆ เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้า และสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีก็มีการส่งออกเพิ่มขึ้นเช่นกัน

รัฐบาลคาดว่าแนวโน้มการส่งออกในเดือนธันวาคม 2567 จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมียอดส่งออกสูงถึง 24,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากทำได้ตามเป้าหมาย ยอดส่งออกทั้งหมดในปี 2567 จะสูงถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นตัวเลขส่งออกสูงสุดในประวัติการณ์อีกครั้ง หลังจากที่ปี 2565 ทำได้ที่ 287,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

รัฐบาลเชื่อมั่นว่าแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ดำเนินการตั้งแต่ 3 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงนโยบายที่เตรียมดำเนินการต่อเนื่องในปีหน้า จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว

การเติบโตของการส่งออกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยสร้างงานและพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาพรวม