วอชิงตัน, 20 ม.ค. – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามในคำสั่งพิเศษเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อเลื่อนการบังคับใช้คำสั่งห้ามแอปพลิเคชันวิดีโอสั้นยอดนิยม TikTok ออกไปอีก 75 วัน หลังจากมีกำหนดปิดตัวในวันที่ 19 มกราคม

ระหว่างการลงนามคำสั่งดังกล่าว ทรัมป์เสนอว่าสหรัฐอเมริกาควรถือหุ้นครึ่งหนึ่งของธุรกิจ TikTok ในสหรัฐเพื่อแลกกับการให้แอปพลิเคชันดำเนินการต่อ พร้อมทั้งเตือนว่าหากจีนไม่อนุมัติข้อตกลงระหว่าง TikTok กับสหรัฐ เขาอาจพิจารณาเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน

คำสั่งนี้เกิดขึ้นหลังการต่อสู้ทางกฎหมายและความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเข้มข้นตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้งาน TikTok ชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคนต้องติดตามความคืบหน้าด้วยความกังวล

เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เมื่อ TikTok ถูกปิดการใช้งานชั่วคราวหลังมีกฎหมายบังคับให้ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ขายธุรกิจในสหรัฐเพื่อความมั่นคงของชาติ

วันถัดมา ทรัมป์ประกาศว่าเขามีแผน "ช่วยเหลือ TikTok" และเพียงไม่กี่ชั่วโมง TikTok ก็กลับมาใช้งานได้ในสหรัฐ พร้อมขอบคุณทรัมป์ที่ให้ความมั่นใจว่าแอปและพันธมิตรทางธุรกิจจะไม่เผชิญบทลงโทษหนัก

อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่บังคับให้ขาย TikTok ผ่านสภาคองเกรสด้วยเสียงข้างมาก และยังได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน และศาลสูงสุด จึงไม่ชัดเจนว่าคำสั่งของทรัมป์จะสามารถยืนหยัดได้หรือไม่

ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีน

ข้อถกเถียงเกี่ยวกับ TikTok เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทรัมป์กล่าวถึงแผนการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดเผยว่าเขาหวังจะติดต่อโดยตรงกับผู้นำจีน

คำสั่งประธานาธิบดีครั้งนี้ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ByteDance หรือบริษัทจีนอื่น ๆ จะยังสามารถถือหุ้นใน TikTok ได้หรือไม่ และยังไม่ตอบคำถามเรื่องความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้

คำสั่งนี้ส่งผลให้กระทรวงยุติธรรมต้องแจ้งไปยังบริษัทที่ให้บริการ TikTok เช่น Apple และ Google ว่าไม่มีการละเมิดกฎหมายในช่วงเวลาที่ระบุ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าคำสั่งดังกล่าวจะช่วยให้ TikTok กลับมาสู่ App Store ในสหรัฐได้หรือไม่

ทางการจีนระบุว่าบริษัทต่าง ๆ ควรมีสิทธิตัดสินใจอย่างอิสระเกี่ยวกับธุรกิจของตน และยังคงท่าทีเดียวกันเมื่อถูกถามถึงคำสั่งของทรัมป์ในวันอังคาร

ข่าวสารนี้แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ยังคงพลิกผันและต้องติดตามกันต่อไปว่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของ TikTok อย่างไรในสหรัฐอเมริกา