หลังจากที่ Microsoft ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนสิงหาคม 2025 ออกมา ผู้ใช้จำนวนมากต่างคาดหวังว่าจะได้ระบบที่เสถียรขึ้น ปลอดภัยขึ้น และแก้ไขช่องโหว่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบน Windows 11 ทว่าความจริงกลับไม่เป็นไปตามนั้น เนื่องจากมีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยประสบปัญหาหลังติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตที่ติดตั้งไม่สำเร็จ ไฟล์บางส่วนเสียหาย หรือแม้แต่การบันทึกข้อมูลใน Event Viewer ที่ทำงานผิดพลาด
สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือ Microsoft ออกมายืนยันผ่านหน้า Windows Release Health ว่าอัปเดตชุดนี้ทำให้ ฟีเจอร์ Reset และ Recovery ใช้งานไม่ได้ บน Windows หลายรุ่น หากผู้ใช้พยายามกด Reset this PC จาก System > Recovery หรือเลือก Fix problems using Windows Update ไปจนถึงการสั่งรีเซ็ตผ่าน RemoteWipe CSP ระบบจะล้มเหลวทันที ไม่สามารถรีเซ็ตเครื่องได้ตามปกติ
รุ่นที่ได้รับผลกระทบได้แก่ Windows 11 เวอร์ชัน 23H2 และ 22H2, Windows 10 เวอร์ชัน 22H2, Windows 10 Enterprise LTSC 2021 และ 2019 รวมถึง IoT Enterprise LTSC ในสองรุ่นดังกล่าวด้วยเช่นกัน ส่วนที่โชคดีคือ Windows Server และ Windows 11 เวอร์ชันล่าสุด 24H2 ไม่ได้รับผลกระทบจากบั๊กครั้งนี้
ด้วยความที่ปัญหาส่งผลกว้างและกระทบผู้ใช้จำนวนมาก Microsoft จึงไม่รอจนถึง Patch Tuesday เดือนกันยายน แต่เลือกที่จะออก Out-of-band update (OOB) หรือแพตช์พิเศษนอกตารางทันทีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 โดยปล่อยอัปเดตในหลายหมายเลข เช่น KB5066189 สำหรับ Windows 11 และ KB5066188 รวมถึง KB5066187 สำหรับ Windows 10 LTSC ซึ่งทั้งหมดมาในรูปแบบ Cumulative Update สามารถติดตั้งได้เลยโดยไม่ต้องอัปเดตเวอร์ชันก่อนหน้า
แม้การออกแพตช์ฉุกเฉินจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ แต่เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนอีกครั้งว่า การอัปเดต Windows ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะบางครั้งก็สร้างความเสี่ยงใหม่ที่ผู้ใช้ไม่ทันตั้งตัว ผู้ใช้บางรายถึงขั้นแสดงความกังวลว่าการกดอัปเดตอาจทำให้ระบบพังมากกว่าดี และเริ่มลังเลที่จะติดตั้งแพตช์ทันทีที่ Microsoft ปล่อย
นักวิเคราะห์มองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ Windows ลดลง และเป็นแรงกดดันให้ Microsoft ต้องปรับปรุงกระบวนการทดสอบก่อนปล่อยอัปเดตมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดซ้ำรอย นอกจากนี้ยังอาจเป็นโอกาสให้ Microsoft เร่งโปรโมตการอัปเดตสู่ Windows 11 เวอร์ชันใหม่อย่าง 24H2 ที่ไม่เจอปัญหานี้ พร้อมสร้างความมั่นใจว่าเป็นเวอร์ชันที่เสถียรและปลอดภัยกว่า
ในภาพรวมแล้ว ปัญหานี้คือเครื่องเตือนใจผู้ใช้ว่า ไม่ควรรีบอัปเดต Windows ทันทีที่มีแพตช์ออกมา หากไม่มั่นใจ ควรรอรายงานจากชุมชนผู้ใช้หรือประกาศยืนยันจาก Microsoft ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะในองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก การอัปเดตโดยไม่ตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลเสียหายเป็นวงกว้างได้
ที่มา : neowin