ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยผลการวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมยางรถยนต์ไทยปี 2568 พบว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ปริมาณการผลิตจะแตะระดับ 1.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 2.1% จากปี 2567 ที่มีการผลิต 1.47 ล้านคัน สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยหลังจากที่เคยหดตัวในช่วงที่ผ่านมา

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต

การเติบโตของตลาดมาจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบาย EV 3.0 ของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 30,000 คัน นำมาซึ่งความต้องการยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับรถ BEV

นอกจากนี้ ตลาดยางทดแทนยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เนื่องจากพบว่ามีรถยนต์กว่า 69,000 คันที่มีอายุการใช้งานมากกว่าการซื้อรถใหม่ ส่งผลให้มีความต้องการเปลี่ยนยางทดแทนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่มีสัดส่วนการใช้ยางอะไหล่สูงถึง 38% ตามมาด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ 18% ภาคตะวันออก 15% และภาคเหนือ 10%

การเติบโตของตลาดรถบรรทุก

ที่น่าสนใจคือ แนวโน้มความต้องการยางสำหรับรถบรรทุกที่มีสูงกว่ายางสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ยอดจดทะเบียนรถยนต์และอุปสงค์โดยรวม

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยฯ ยังระบุว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์สะสมในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.3% เป็น 19.84 ล้านคันในปี 2568 จาก 19.77 ล้านคันในปีก่อน ส่งผลให้อุปสงค์ยางรวมในประเทศคาดว่าจะเติบโต 0.8% หรือประมาณ 27.34 ล้านเส้น เพิ่มขึ้นจาก 27.12 ล้านเส้นในปี 2567

ความท้าทายและแนวโน้มในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด 2 ประการ ได้แก่

  1. ความต้องการยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ผลิตยางจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
  2. แนวโน้มความต้องการยางสำหรับรถปิกอัพที่อาจลดลงในอนาคต เนื่องจากกำลังการผลิตรถกระบะที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตยางที่เน้นตลาดยางสำหรับรถปิกอัพ

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่มุ่งสู่ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ไทย ที่จะต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก